ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ บุคคลสำคัญ ประเทศและทวีป >>
เชอร์วูด แอนเดอร์สัน
(Anderson, Sherwood)
เชอร์วูด แอนเดอร์สัน เป็นนักเขียนเรื่องสั้นและนวนิยายแนวธรรมชาตินิยม
(Naturalism) ชาวอเมริกัน
ที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อวรรณคดีและนักเขียนอเมริกันในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1
จนถึงสงครามโลกครั้งที่ 2
เรื่องที่มีชื่อเสียงของแอนเดอร์สันเป็นเรื่องของชาวอเมริกันตามเมืองเล็กๆ
แถบตะวันตกกลาง (Midwest)
แอนเดอร์สันเกิดเมื่อวันที่ 13 กันยายน ค.ศ.1876
เป็นบุตรคนหนึ่งในจำนวน 7 คนของกรรมกรที่มีฐานะยากจน
ครอบครัวแอนเดอร์สันย้ายที่อยู่บ่อยมากจนลูกๆ ทั้ง 7 คนเกิดไม่ซ้ำเมืองกันเลย
แอนเดอร์สันเองเกิดที่เมืองแคมเดน (Camden) มลรัฐโอไฮโอ (Ohio)
และใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในวัยเด็กที่เมืองไคลด์ (Clyde) ในมลรัฐนี้ เขาเรียนๆ หยุดๆ
ที่โรงเรียนในเมืองไคลด์ เพราะต้องทำงานหลายอย่าง อาทิ ส่งหนังสือพิมพ์ ทาสีบ้าน
และทำงานในไร่ เพื่อช่วยเหลือครอบครัว จนเรียนจบระดับมัธยม
จากนั้นก็ทำงานที่โรงงานผลิตเครื่องใช้ในบ้านจนถึง ค.ศ.1898 ขณะอายุ 22 ปี
เขาสมัครเป็นทหารในกองทัพบกสหรัฐอเมริกา
และไปประจำการที่คิวบาระหว่างสงครามสเปน-สหรัฐอเมริกา (Spanish-American War)*
หลังสงครามสงบใน ค.ศ.1899 เขาเข้าเรียนที่วิตเทนเบิร์กอะคาเดมี (Wittenberg
Academy) เมืองสปริงฟิลด์ (Springfield) มลรัฐโอไฮโอจนถึง ค.ศ.1900
จากนั้นก็ทำงานเป็นคนเขียนคำโฆษณา (copywriter) ที่เมืองชิคาโก (Chicago)*
มลรัฐอิลลินอยส์ (Illinois) อยู่ 5 ปี
แล้วออกไปทำธุรกิจหลายอย่างจนในที่สุดได้เป็นเจ้าของโรงงานผลิตสีทาบ้านที่เมืองอิลิเรีย
(Elyria) มลรัฐโอไฮโอ ธุรกิจของแอนเดอร์สันประสบความสำเร็จด้วยดี
แต่เขากลับไม่พอใจกับวิถีชีวิตแบบนี้
วันหนึ่งเขาจึงทิ้งโรงงานและครอบครัวไปอยู่ที่เมืองชิคาโก
เพื่อหาความหมายให้กับชีวิตด้วยการอุทิศตนให้กับงานเขียน
แอนเดอร์สันจึงกลายเป็นตัวแทนของผู้ที่ยอมทิ้งค่านิยมแบบวัตถุนิยมของคนชั้นกลางอเมริกันอย่างไม่ไยดี
เพื่อทำงานที่ตนเองรัก
แอนเดอร์สันกลับไปทำงานเขียนคำโฆษณาที่เมืองชิคาโก
ซึ่งเป็นศูนย์กลางของกวีและนักเขียนแถบตะวันตกกลาง
จนเก็บเงินได้มากพอที่จะออกจากงานมาเขียนหนังสือเพียงอย่างเดียว
ระหว่างอยู่ที่ชิคาโก เขาพักอยู่กับพี่ชายชื่อคาร์ล แอนเดอร์สัน (Karl Anderson)
ซึ่งขณะนั้นกำลังทำงานศิลปะอยู่ที่ชิคาโก
คาร์ลเป็นผู้แนะนำให้เขารู้จักกับกวีและนักเขียนหลายคนใน กลุ่มชิคาโก (Chicago
Group) ซึ่งกำลังเริ่มมีชื่อเสียง อาทิ ฟลอยด์ เดลล์ (Floyd Dell) คาร์ล
แซนด์เบิร์ก (Carl Sandburg) และเทโอดอร์ ไดรเซอร์ (Theodore Dreiser)*
นักเขียนเหล่านี้ให้กำลังใจแอนเดอร์สันในการเขียนหนังสือ
ทำให้เขาเริ่มส่งบทกวีและเรื่องสั้นแนวทดลองไปลงในนิตยสาร The Little Review, The
Masses, Poetry และ The Seven Arts
เดลล์และไดรเซอร์ยังช่วยเป็นธุระในเรื่องการจัดพิมพ์นวนิยาย 2
เรื่องแรกของแอนเดอร์สัน ที่เขาเขียนไว้ตั้งแต่ยังทำธุรกิจผลิตสีทาบ้าน ได้แก่
Windy McPhersons Son (ค.ศ.1916) และ Marching Men (ค.ศ.1917) นวนิยาย 2 เรื่องนี้
เล่าเรื่องคนในยุคอุตสาหกรรมที่ผิดหวังกับชีวิตและค่านิยมของสังคม
เนื่องจากแอนเดอร์สันเติบโตมาในเมืองเล็กๆ
เขาจึงหลงใหลตัวละครเอกในนวนิยายเรื่อง Huckleberry Finn ของมาร์ก ทเวน (Mark
Twain)* หรือแซมวล เคลเมนส์ (Samuel Clemens)* เป็นพิเศษ
เพราะตัวละครดังกล่าวซึ่งมีชื่อว่าฮัก ฟินน์ (Huck Finn) มีลักษณะที่ซื่อ บริสุทธิ์
และดำรงชีวิตอย่างเรียบง่าย แบบคนที่เติบโตมาในเมืองเล็กๆ
นอกจากนี้เขายังชื่นชมภาษาแบบที่ชาวบ้านใช้พูดกันในชีวิตประจำวันในนวนิยายเรื่องนี้ด้วย
ต่อมาแอนเดอร์สันยังได้รับอิทธิพลจากนักเขียนอเมริกันร่วมสมัยกับเขาชื่อเกอร์ทรูด
สไตน์ (Gertrude Stein)* ทางด้านลีลาการเขียน อิทธิพลของมาร์ก ทเวน และ เกอร์ทรูด
สไตน์ ส่งผลให้แอนเดอร์สันพัฒนาลีลาการเขียนที่เรียบง่าย
และการใช้ภาษาที่มิใช่ภาาษาวรรณคดี แต่เป็นภาษาที่ชาวบ้านทั่วไปตามเมืองเล็กๆ
ใช้พูดกัน ภาษาดังกล่าวถือกันว่าเป็นภาษาพูดของชาวอเมริกันแท้ๆ
ลีลาการเขียนและการใช้ภาษาพูดแบบที่คนทั่วไปใช้ในชีวิตประจำวัน
ตลอดจนเทคนิคของเรื่องสั้นที่แอนเดอร์สันใช้
มีอิทธิพลอย่างมากต่อนักเขียนอเมริกันที่มีชื่อเสียงที่สุดหลายคนในยุคเดียวกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อนักเขียนรางวัลโนเบลชาวอเมริกัน ชื่อ เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์
(Ernest Hemingway)* และวิลเลียม ฟอล์กเนอร์ (William Faulkner)*
ฟอล์กเนอร์เองเคยให้สัมภาษณ์นิตยสาร Paris Review ใน ค.ศ.1956
ยกย่องให้แอนเดอร์สันเป็นบิดาของนักเขียนอเมริกันร่วมสมัย
และเป็นผู้สร้างแบบแผนการเขียนวรรณคดีอเมริกันที่คนรุ่นหลังจะยึดถือเป็นแบบอย่างต่อไป
แอนเดอร์สันจึงมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อทิศทางของวรรณคดีอเมริกันในคริสต์ศตวรรษที่ 20
แม้ว่าผลงานของเขาจะไม่โด่งดังเท่ากับผลงานของนักเขียนร่วมสมัยอย่างเฮมิงเวย์และฟอล์กเนอร์ซึ่งได้รับอิทธิพลจากผลงานของเขา
นอกเหนือจากภาษาและลีลาการเขียน
เแอนเดอร์สันยังพัฒนาแก่นเรื่องที่มีลักษณะเฉพาะของวรรณคดีอเมริกัน
และถ่ายทอดตัวตนของชาวอเมริกันแท้ๆ ที่ปราศจากกลิ่นอายของยุโรป
แอนเดอร์สันเองเติบโตมาในเมืองบ้านนอกแถบตะวันตกกลางในตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19
เขาจึงชื่นชมความสุขของเด็กในชนบท และชิวิตในเมืองเล็กๆ สมัยที่ยังใช้ม้ากันอยู่
แอนเดอร์สันเก็บภาพของสังคมชนบทอเมริกันช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่กำลังก้าวไปสู่สังคมอุตสาหกรรมไว้ในผลงานของเขา
ในขณะที่ตัวเขาเองกลายเป็นตัวแทนของคนอเมริกันที่ต้องทำงานจำเจอยู่ตามโรงงาน
เพราะเขาคิดว่าเป็นหน้าที่ของนักเขียนที่จะต้องปลุกเพื่อนร่วมชาติให้ตื่นขึ้นมาแสวงหารูปแบบชีวิตที่มีความหมายมากกว่านี้
ตัวละครในผลงานของแอนเดอร์สันเป็นชาวชนบทในเมืองเล็กๆ ของสหรัฐอเมริกา
ซึ่งมีบุคลิกทื่อๆ
และหดหู่สิ้นหวังเพราะถูกบีบคั้นจากอารยธรรมที่เครื่องจักรเป็นใหญ่
แอนเดอร์สันเองเกลียดชังเครื่องจักร
เพราะเขาเห็นว่าเครื่องจักรเป็นตัวแทนของความร่ำรวยทางวัตถุที่ฟอนเฟะ
และการมีชีวิตอยู่ตามมาตรฐานที่สังคมกำหนดไว้
ทำให้พลังพื้นฐานในตัวมนุษย์ไม่อาจสำแดงออกมาได้
สำหรับแอนเดอร์สันสังคมอุตสาหกรรมอัปลักษณ์พอๆ กับสงครามในโลกสมัยใหม่
แอนเดอร์สันเขียนนวนิยายทั้งหมด 7 เรื่อง
ทั้งนี้นักวิจารณ์มีความเห็นไม่ตรงกันว่านวนิยายเรื่องใดของเขาประสบความสำเร็จมากที่สุด
นวนิยายของแอนเดอร์สันมักแสดงให้เห็นความยากจน ความเหงา
และความสิ้นหวังของคนในเมืองเล็กๆ ในยุคอุตสาหกรรม เช่นเดียวกับเรื่องสั้นของเขา
ดังเห็นได้ในนวนิยายเรื่อง Marching Men (ค.ศ.1917) และ Poor White (ค.ศ.1920)
ในขณะที่เรื่อง Many Marriages (ค.ศ.1923)
สะท้อนให้เห็นปัญหาทางด้านกามารมณ์ของคนในสังคมอุตสาหกรรม
โดยน่าจะมีที่มีจากปัญหาของแอนเดอร์สันเอง
เนื่องจากในชีวิตจริงแอนเดอร์สันก็แต่งงานหลายครั้ง
กล่าวคือครั้งแรกแต่งงานกับคอร์เนเลีย แพรตต์ เลน (Cornelia Pratt Lane) ใน
ค.ศ.1904 แล้วหย่าขาดจากเธอใน ค.ศ.1916 หลังจากมีลูกด้วยกัน 3 คน
จากนั้นก็ได้แต่งงานใหม่อีก 3 ครั้ง ครั้งสุดท้ายใน ค.ศ.1944 กับเอลิเนอร์
โคเพนฮาเวอร์ (Eleaner Copenhaver)
ในนวนิยายเรื่อง Dark Laughter (ค.ศ.1925) แอนเดอร์สันเปรียบเทียบชีวิต 2
แบบ คือชีวิตที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อนแต่มีความสุข
ซึ่งเขาใช้คนผิวดำอเมริกันในยุคของเขาเป็นสัญลักษณ์
กับชีวิตที่แห้งแล้งและยึดวัตถุนิยมของคนที่ถือตัวว่ามีอารยธรรมสูงส่งกว่า
ซึ่งเขาใช้ตัวละครผิวขาวเป็นสัญลักษณ์ เรื่อง Beyond Desire (ค.ศ.1932)
เป็นเรื่องราวการต่อสู้ดิ้นรนของกรรมกรโรงงานทอผ้าในมลรัฐทางใต้
นักวิจารณ์เห็นพ้องกันว่าวรรณกรรมประเภทเรื่องสั้นเป็นผลงานที่ดีที่สุดของแอนเดอร์สัน
เรื่องสั้นเหล่านี้ทำให้แอนเดอร์สันมีชื่อเสียงและมีอิทธิพลต่อนักเขียนร่วมสมัยมากที่สุด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสั้นที่รวมอยู่ในหนังสือรวมเรื่องสั้นเล่มแรกของเขา ชื่อ
Winesburg, Ohio (ค.ศ.1919)
เรื่องสั้นแต่ละเรื่องที่รวมอยู่ในหนังสือเล่มนี้มีความสัมพันธ์กัน
โดยแอนเดอร์สันให้ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์หนุ่มชื่อจอร์จ วิลลาร์ด (George Willard)
ซึ่งโตมาในเมืองไวเนสเบิร์ก มลรัฐโอไฮโอ เป็นตัวเชื่อม
ทำให้คนอ่านเห็นภาพชีวิตที่เงียบเหงาและหดหู่สิ้นหวังของคนในเมืองเล็กๆ
อย่างเมืองไวเนสเบิร์ก ผ่านสายตาของนักข่าวผู้นี้
เรื่องสั้นของแอนเดอร์สันต่างจากเรื่องสั้นอเมริกันทั่วไปในยุคเดียวกัน
กล่าวคือในขณะที่เรื่องสั้นทั่วๆ ไปเน้นโครงเรื่องและการกระทำของตัวละคร
แต่เรื่องสั้นของแอนเดอร์สันกลับเน้นความรู้สึกนึกคิดของคนตามเมืองเล็กๆ
แถบตะวันตกกลางที่มีแต่ความเงียบเหงา แอนเดอร์สันจึงเป็นนักเขียนอเมริกันคนแรกๆ
ที่นำทฤษฎีจิตวิเคราะห์โดยเฉพาะอย่างยิ่งทฤษฎีของซิกมุนด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud)
นักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียงที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 20
มาใช้วิเคราะห์สภาพจิตใจและการกระทำของตัวละคร
หนังสือรวมเรื่องสั้นของแอนเดอร์สันยังมีอีกหลายเล่ม อาทิ The Triumph of
the Egg (ค.ศ.1921) ซึ่งเป็นเล่มที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาถัดจากเรื่อง Winesburg,
Ohio ในหนังสือเล่มนี้มีเรื่องสั้นที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาหลายเรื่อง อาทิ The
Egg และ I Want to Know Why นอกจากนี้ยังมีหนังสือรวมเรื่องสั้นชื่อ Horses and Men
(ค.ศ.1923) Death in the Woods and Other Stories (ค.ศ.1933) และอีกหลายเล่ม
นอกเหนือจากนวนิยายและเรื่องสั้น แอนเดอร์สันยังเขียนบทละครไว้หลายเรื่อง
แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าเรื่องสั้น อาทิ Winesburg (แสดงใน ค.ศ.1934) Above
Suspicion (นำมาแสดงเป็นละครวิทยุใน ค.ศ.1941)
นอกจากนี้ยังมีข้อเขียนที่นำมารวมพิมพ์เป็นเล่มอีกจำนวนมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อเขียนเชิงอัตชีวประวัติของแอนเดอร์สันในหนังสือชื่อ A Story
Tellers Story (ค.ศ.1924) Tar: A Midwest Childhood (ค.ศ.1926) Sherwood
Andersons Notebook (ค.ศ.1926)
และหนังสือที่พิมพ์เผยแพร่หลังจากเขาถึงแก่กรรมไปแล้ว ชื่อ Sherwood Andersons
Memoirs (ค.ศ.1942)
ผลงานดังกล่าวสะท้อนให้เห็นทัศนะของแอนเดอร์สันเกี่ยวกับชีวิตและวรรณกรรมประเภทเรื่องสั้นและนวนิยายได้เป็นอย่างดี
หลังจากมีชื่อเสียงในวงวรรณกรรม แอนเดอร์สันอพยพไปอยู่ที่เมืองนิวออร์ลีนส์
(New Orleans) มลรัฐลุยเซียนา (Louisiana) ระหว่าง ค.ศ. 1923-1924
เขาใช้ช่วงเวลานี้เขียนเรื่องสั้นไปลงตามนิตยสารต่างๆ หลายฉบับ ได้แก่ The Masses,
The Little Review, The Seven Arts, The Nation และ The New Republic ต่อมาใน
ค.ศ.1925 เขาไปตั้งรกรากอยู่ที่ฟาร์มแห่งหนึ่งใกล้กับเมืองแมเรียน (Marion)
ในมลรัฐเวอร์จิเนีย (Virginia) และได้เป็นผู้พิมพ์หนังสือพิมพ์ประจำเมืองนี้ 2 ฉบับ
ชื่อ Smyth Country News และ Democrat ในช่วงกลางทศวรรษ 1930
แอนเดอร์สันเดินทางไปตามเมืองต่างๆ ในสหรัฐอเมริกาหลายเมือง
เพื่อรายงานสภาพความเป็นอยู่ของชาวอเมริกันในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great
Depression)*
เชอร์วูด แอนเดอร์สันถึงแก่กรรมที่เมืองโคโลน (Colon) ประเทศปานามา
(Panama) เมื่อวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ.1941 ขณะอายุ 65 ปี.
(กุลวดี มกราภิรมย์)
(ตีพิมพ์ใน สารานุกรมประวัติศาสตร์สากล :
อเมริกา เล่ม 1 อักษร A B ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ :
ราชบัณฑิตยสถาน, 2547.)