ศิลปะ หัตถกรรม สถาปัตยกรรม ประติมากรรม สันทนาการ >>
พื้นฐานแนวคิดเกี่ยวกับศิลปะไทย
ศาสนาจักรและคติการสร้างสัญลักษณ์แทนองค์พระพุทธเจ้า
ศาสนาที่ถือกำเนิดในอินเดียเกือบทุกลัทธิมักกล่าวถึงเทพเจ้า
เป็นสิ่งก่อให้เกิดความอบอุ่นใจ มั่นใจ
และจูงใจในการปฏิบัติตนของเหล่าศาสนิกชนให้ได้รับความสำเร็จสูงยิ่งขึ้น
แต่ละลัทธิศาสนาจำแนกถึงหลักการต่าง ๆ
พร้อมทั้งยืนยันว่าผู้นับถือลัทธิเกิดความศรัทธาเชื่อมั่นว่าจะได้รับความสุขในความมุ่งหมายแห่งชีวิต
การเข้าถึงความสุขอันเป็นจุดหมายนั้นย่อมหมายถึงความสำเร็จอันสูงสุดในชีวิตมนุษย์
และการที่จะทำให้เกิดผลแห่งความสมบูรณ์ดังกล่าวผู้นับถือศาสนาย่อมต้องดำเนินชีวิตตามแนวทางที่ลัทธินั้นๆ
บัญญัติไว้ พร้อมกับต้องศึกษาให้เกิดความเข้าใจถึง ส่วนประกอบขั้นมูลฐานต่าง ๆ
ที่มีอยู่
สมัยพระเวทในประเทศอินเดียก่อนพุทธกาล มีการนับถือลัทธิวิญญาณนิยม นับถือผี
ปีศาจ วิญญาณ เทวดา และบูชา สมัยต่อมามีการรวบรวมลัทธิดังกล่าวเกิดเป็นศาสนาพราหมณ์
โดยถือพระพรหมเป็นผู้สร้างก่อให้เกิดพิธีกรรมต่าง ๆ ในชีวิต
มีการแบ่งชนชั้นออกเป็นสี่วรรณะ ได้แก่ พราหมณ์ กษัตริย์ แพทย์ ศูทร
พราหมณ์อ้างตนเอง และให้ความหมายว่าตนตระกูลสูงศักดิ์ มีความรู้ มีอำนาจ
ถือกำเนิดจากพรหม เรียนรู้สรรพวิชาเรียก ไสยศาสตร์ อันกล่าวถึง พระเวท
หมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้องเคารพบูชาและทำพิธีบวงสรวง เน้นการท่องจำ เช่น มนต์
โดยเป็นต้นกำเนิดมนต์ โอม หรือ อะ อุ มะ ต่อมาพัฒนาสู่เทพสามพระองค์ ได้แก่
พระพรหมมีมเหสีชื่อสรัสวดี พระอิศวรมีมเหสีชื่ออุมา และพระนารายณ์มเหสีชื่อลักษมี
ต่อมาภายหลังวิวัฒนาการเป็นศาสนาฮินดู
ศาสนาฮินดู
เพิ่มเติมเรื่องราวของอุปนิษัทอภิปรัชญาว่าด้วยศาสตร์อันลี้ลับมหัศจรรย์
มีพระเป็นเจ้าปกครองจักรวาล เหล่าเทพน้อยใหญ่มีความสำคัญตามฐานันดรลดหลั่นกัน
เรื่องราวอันเกี่ยวข้องกับพระเป็นเจ้าได้จดบันทึกไว้ในคัมภีร์ปุรณะ
ศิลปินผู้สร้างรูปเคารพของพระเป็นเจ้าได้ศึกษาข้อมูลในบทโศลกจากปุรณะ
โดยกำหนดส่วนประกอบบางอย่างเหนือกว่ามนุษย์ เช่น มีหลายเศียร หลายกร
มีพาหนะประจำพระองค์ มีเครื่องอุปโภคอันประเสริฐประจำพระองค์
บางครั้งพระเป็นเจ้าที่เคารพอาจเป็นรูปวัว นก ครุฑ หรือเป็นงู ตามแต่นิกายหรือลัทธิ
ภายหลังศาสนาฮินดูถึงจุดอิ่มตัว เพราะว่าการประกอบพิธีกรรมยุ่งยากซับซ้อน
กอปรกับวรรณะพราหมณ์มีบทบาทในสังคมและมีอภิสิทธิ์มาก
กลุ่มชนซึ่งด้อยกว่าเริ่มเสื่อมความศรัทธา จึงแสวงหาสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ
จนกระทั่งมีศาสดาก่อตั้งลัทธิใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการของสังคม เช่น
มหาวีระตั้งศาสนาเชน พระพุทธเจ้าตั้งศาสนาพุทธ
ทั้งสองศาสนาล้วนมีจุดประสงค์เพื่อจะให้บรรลุเป้าหมายคล้ายคลึงกันคือ
ลบล้างการแบ่งชนชั้นวรรณะของระบบสังคม
และต้องการให้ทุกคนได้รับสิทธิด้านการประกอบศาสนกิจอย่างเท่าเทียมกัน
การแพร่ขยายของศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์เข้าสู่ดินแดนประเทศไทย
พุทธศาสนาลัทธิมหายาน มีการนับถือพระโพธิสัตว์
เพ่งเล็งในด้านพิธีกรรมและเวทมนตร์อาคมเป็นสำคัญเคยมีอิทธิพลต่อดินแดนแถบนี้มาก่อน
แม้ว่าพุทธศาสนาลัทธิเถรวาทได้มีความสำคัญเป็นที่ยอมรับต่อมาภายหลัง
และพุทธศาสนาลัทธิมหายานได้คลายความสำคัญลงในดินแดนที่เป็นประเทศไทยก็ตาม
แต่อิทธิพลก็ยังคงมีสืบต่อมาในรูปแฝงของพุทธาคม
การปลุกเสกเครื่องรางของขลังการสร้างวัตถุมงคลต่าง ๆ ความเชื่อในไสยศาสตร์
และแม้ในรูปแบบของสถาปัตยกรรม
ปัจจุบันพุทธศาสนาในประเทศไทยเป็นพุทธศาสนาฝายสาวกยานลัทธิเถรวาท
คำสอนของพุทธศาสนาลัทธิเถรวาท ไม่สอนให้ประชาชนหวังผลจากการประกอบพิธีบวงสรวง
หรือผูกพันกับความศักดิ์สิทธิ์ปาฏิหารย์ใด ๆ หลักของเถรวาทสอนให้คนถือสันโดษ
เรียบง่ายไม่เป็นภาระต่อผู้อื่น ละกิเลส กำหนดอัฐบริขารที่จำเป็นต่อการครองชีพ
ดำรงชีพอยู่ได้เท่าที่จะไม่ทำให้เป็นอุปสรรคในการปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุนิพพาน
ลัทธิมหายานกำเนิดทางแถบเหนือของอินเดีย กลางพุทธศตวรรษที่ 5 อัศวโฆษ
เป็นราชครูของพระเจ้ากนิษกะ เป็นผู้แพร่ลัทธิและรจนาคัมภีร์อันเป็นกำเนิดมหายาน
เช่น คัมภีร์ศรัทโธตบาท ต่อมามีท่านนาคารชุนเป็นผู้สอนและเผยแพร่
ลัทธิมหายานมีพระสูตรที่ทำให้เชื่อว่าน่าจะเป็นเค้าเงื่อนส่งอิทธิพลต่อศิลปวัฒนธรรมไทย
คือ สุขาวดีสูตรน่าจะเป็นพระสูตรสำคัญต่อศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมฝ่ายพุทธจักร
กล่าวคือ
สุขาวดีสูตรกล่าวถึงที่ประทับของพระอมิตาภพุทธในสวรรค์ชั้นสุขาวดีว่าเป็นอาคารประทับที่มีความงดงามยิ่ง
มีชายคาที่ประดับด้วยกระดึงแขวนทำให้เกิดเสียงดังเมื่อเวลาลมพัด
กำแพงแก้วก่อด้วยรัตนชาติสะท้อนแสงอย่างแพรวพราว รอบอาคารที่ประทับงดงามประณีต
ดังนั้นน่าจะเป็นมูลเหตุทำให้ช่างเกิดแรงบันดาลใจมีจินตนาการสร้างสถาปัตยกรรมพุทธศาสนา
เพื่อถ่ายทอดลักษณะที่ประทับในสรรค์ชั้นสุขาวดีจำลองให้เห็นบนพื้นโลก
มหายานยุคต้นกล่าวถึงจักรวาลแตกต่างจากที่เชื่อในพุทธศาสนาแบบเดิม
พุทธศาสนาแบบเดิมเชื่อว่า จักรวาลมีพระพุทธเจ้าอุบัติครั้งละหนึ่งองค์เท่านั้น
มหายานเชื่อว่าจักรวาลแบ่งเป็นส่วนย่อยไม่มีที่สิ้นสุด อาณาเขตย่อยเรียกว่า
พุทธเกษตร หนึ่งพุทธเกษตรมีพระพุทธเจ้าประทับอยู่หนึ่งองค์
ดังนั้นจึงมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นได้มากกว่าหนึ่งองค์
(มากมายเท่ากับเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา)
พุทธเกษตรแต่ละแห่งต่างกันตามบารมีของพระพุทธเจ้าประจำพุทธเกษตร
ซึ่งได้บำเพ็ญบารมีสมัยเป็นพระโพธิสัตว์ไว้มาก
อำนาจบารมีนั้นย่อมส่งผลให้พุทธเกษตรของพระองค์รุ่งเรืองมากกว่าองค์ที่บำเพ็ญบารมีน้อยกว่า
พุทธเกษตรที่รุ่งเรืองอุดมสมบูรณ์มากที่สุดในจักรวาลนี้ชื่อ สุขาวดีพุทธเกษตร
ลัทธิเถรวาทและมหายาน (นิกายมาธยมิกะและโยคาจาร) มีทัศนะตรงกันว่า
คนเราปรารถนานิพพานต้องแลกด้วยการปฏิบัติที่ยุ่งยาก ไม่ใช่เป็นเรื่องได้มาง่าย ๆ
ภิกษุชาวจีนจึงแก้ปัญหาเรื่องนิพพานให้ชาวบ้านตั้งจิตปรารถนาให้เกิดในแดนสุขาวดี
เมื่อตายก็จะได้ไปเกิด โดยเฉพาะพุทธเกษตรสุขาวดีมีพระพุทธเจ้านามว่า อมิตาภะ
เป็นผู้ทรงรอบรู้ในการสั่งสอนใครได้ฟังย่อมรับรู้และเข้าใจได้ง่าย
การเข้าถึงนิพพานจึงมีโอกาสมากกว่าพุทธเกษตรอื่น ๆ
พระอมิตาภะประทับยืนบนดอกบัวด้านขวาคือพระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ด้านซ้ายมีพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์
(เจ้าแม่กวนอิม) ยืนอยู่บนดอกบัว
มหายานกำหนดพระพุทธเจ้าไว้จำนวนมาก
มีแดนเป็นที่ประทับแห่งเดียวกันคือพุทธเกษตร อันเป็นสถานไพโรจน์งดงาม
พระพุทธเจ้าเหล่านี้ล้วนอุบัติมาจากแหล่งเดียวกัน คือ จากพุทธองค์แรกเรียกว่า
พระอาทิพุทธ อาทิพุทธเป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกที่ทรงอุบัติมาพร้อมกับโลก
และประจำโลกอยู่ชั่วนิรันดร ดังคำอธิบายของมหายานในประเทศเนปาลว่า
อาทิพุทธเป็นสยัมภู กล่าวคือเกิดเอง เป็นเอง อุบัติขึ้นมาพร้อมกับโลก ไม่มีการเริ่ม
ไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อโลกเป็นรูปร่างขึ้นมานั้นอาทิพุทธปรากฏพระกายในแสงของเปลวเพลิง
ซึ่งเป็นรัศมีพุ่งขึ้นมาจากดอกบัว มหายานมีศรัทธาว่า
พระธยานิพุทธเป็นอวตารของพระอาทิพุทธ
บางครั้งพระอาทิพุทธถูกขนานพระนามว่าพระไวโรจนะ วัชรปาณี วัชราธาร และวัชรสัตว์
อนึ่งพระอาทิพุทธปรากฏในรูปใดก็ดี มักทรงเครื่องประดับอย่างงดงาม
และมีลีลาศใหญ่แสดงความเป็นพระผู้ยิ่งใหญ่
มีพระเทวีหรือศักดิคู่เคียงเรียกว่าอาทิธรรมหรืออาทิปรัชญา
พระมานุสสพุทธคือผู้อวตารมาจากพระอาทิพุทธ
อุบัติมาในรูปของมนุษย์ผู้ประเสริฐ บำเพ็ญเพียรบารมีในฐานะเป็นพระโพธิสัตว์
ตรัสรู้ซึ่งความจริงสามารถเข้าถึงโพธิญาณ ได้แก่ พระทีปังกร กัสสปะ โคดม เมตไตรย์
และไภสัชชคุรุ ดังรายละเอียดต่อไปนี้
- ทีปังกรพุทธ เป็นพุทธผู้ประทานซึ่งแสงสว่าง แสดงออกให้เห็นเป็นรูปเปรียบหรือสัญลักษณ์ เช่น พระรูปเป็นพุทธลีลา ปางประทานอภัย สีเหลือง สถานที่ตรัสรู้ และไม้มหาโพธิ์
- กัสสปพุทธ ตามแบบพุทธศิลปะมหายาน สร้างรูปพระกัสสปพุทธเจ้าทรงสิงโต เป็นพาหนะ ครองกาสาวพัสตร์
- โคตมพุทธ ดังในประเทศจีน (พระยูไล้) และญี่ปุ่น (ชากามุนี) ปรากฏในรูปของพระศากยมุนีในรูปเด็ก ประทับยืนพระหัตถ์ขวาชี้ขึ้นสู่ฟ้าเบื้องบนพระหัตถ์ซ้ายชี้ลงสู่พื้นดินเบื้องล่าง พระศากยมุนีในพระรูปนั่งท่าทรงทรมานแบบทุกรกิริยาพระวรกายซูบผอม พระมัสสุและพระเกศายาว พระศากยมุนีในพระรูปปางเข้าสู่นิพพาน เป็นแบบสีหไสยาสน์ พระหัตถ์ขวารองพระเศียร มีพระสาวกนั่งเฝ้าพระศพอยู่สองรูป (พระสารีบุตรและพระโมคคัลลาน์)
- เมตไตรย์พุทธ หมายถึงพระผู้ทรงเมตตาและปราณี ตามคัมภีร์มหายาน กล่าวว่าพระวรกายสีเหลือง มีวงจักรเป็นเครื่องหมายประจำพระองค์ พระวรกายมีสายมาลาขาว-เหลืองคาด (บางครั้งมีสายสังวาลย์พันโดยรอบ)
- ไภสัชชคุรุพุทธ หมายถึงพระพุทธผู้เป็นแพทย์วิเศษเชื่อว่าเป็นพุทธผู้เป็นนายแพทย์ คอยรักษาโรคหรือประทานโอสถแก่สรรพสัตว์
ธยานิพุทธ เป็นอวตารของพระอาทิพุทธจำนวนห้าพระองค์ คือพระไวโรจนะ พระอักโษภยะ
พระรัตนสัมภวะ พระอมิตาภะ และพระอโมฆสิทธิ เกิดขึ้นโดยอำนาจฌานของพระอาทิพุทธเจ้า
และด้วยอำนาจฌานของพระธยานิพุทธ เป็นเหตุให้เกิดพระธยานิโพธิสัตว์อีกห้าพระองค์ คือ
พระสมันตภัทร พระวัชรปาณี พระรัตนปาณี พระอวโลกิเตศวร และพระวิศวปาณี
พระโพธิสัตว์ดังกล่าวตามหลักตรีกายถือว่าเป็นสัมโภคกาย (กายหนึ่งในสามอันประกอบด้วย
ธรรมกาย นิรมาณกาย และสัมโภคกาย) อันเป็นกายแห่งความบันเทิง
นอกจากนี้มหายานยังได้กำหนดตำแหน่งและสี
อันเป็นเครื่องแสดงลักษณะของพระธยานิพุทธทั้งอายตนะภายนอกและธาตุที่เกิดจากอำนาจของธยานิพุทธนั้น
ๆ ด้วย
พุทธศาสนาลัทธิมหายาน นิกายโยคาจารเป็นนิกายที่ประกอบไปด้วยแบบ (ตันตระ)
บทสาธยาย (ดารณี) และการบริกรรม (มันตร)
อันศักดิ์สิทธิ์เพื่อยังดวงใจให้เกิดความบริสุทธิ์
เวลาสาธยายมนต์กำหนดให้มีดนตรีบางอย่างประกอบ และมีการแสดงลีลาโดยนิ้วมือ เรียกว่า
มุทรา
อันเป็นเครื่องหมายแสดงว่าจิตใจได้กำหนดอยู่กับอารมณ์หรือธรรมส่วนใดกำหนดอยู่กับขันธ์
ธาตุและอายตนะส่วนไหน การตั้งสมาธิจิตโดยอาศัยลีลาของนิ้วมือเป็นเครื่องกำหนด
ถือเป็นหลักสำคัญยิ่งของลัทธิโยคาจาร พระธยานิพุทธสร้างรูปเปรียบเป็นพระนั่ง
ขัดสมาธิเพชร ขัดพระบาทหงายขึ้นมาบนพระเพลา ครองผ้าพระอังสาปล่อยเปล่า
มีพระอุณาโลมบนพระนลาฏ พระกรรณย้อยยาว
พระเกศาม้วนเป็นรูปพระอุณหิศและมักเป็นรูปเปลวออก 2-3 แฉก ทุกองค์มีศักดิ์หรือเทวี
บางครั้งทำเป็นรูปรวมกันกับเทวี มีมงกุฎ และสร้อยสังวาลย์เป็นเครื่องประดับ
ในบรรดาธยานิพุทธห้าพระองค์ พระอมิตาภะผู้ทรงรัศมีอันหาที่สุดไม่ได้
มีความสำคัญยิ่งกว่าธยานิพุทธองค์อื่นๆ ทั้งสิ้น พระธยานิพุทธ
แต่ละองค์มีลักษณะดังนี้ คือ
- พระไวโรจนะ นิยมทำพระหัตถ์ทั้งสองเหมือนกับจะประกบเข้าหากัน มุทราแต่ละนิ้วพระหัตถ์เบื้องขวา แสดงความหมายแทนธาตุองค์ประกอบของสรรพสัตว์ กล่าวคือ นิ้วก้อยแทน ธาตุดิน นิ้วนางแทนธาตุน้ำ นิ้วกลางแทนธาตุไฟ นิ้วชี้แทนธาตุลม นิ้วโป้งแทนอากาศธาตุ ส่วนพระหัตถ์ซ้ายมุทราแสดงนิ้วชี้เท่านั้น แทนวิญญาณธาตุ ส่วนพระหัตถ์ทั้งสองจะประกบเข้าหากัน เป็นเครื่องหมายแสดงความสมโยคระหว่างโลกกับธรรม หรือระหว่างนามกับรูป
- พระอักโษภยะ เป็นพระผู้ไม่หวั่นไหว หรือปราศจากความเดือดร้อน นิยมสร้างให้มี อริยาบทเป็นพระนั่งสมาธิแบบเดียวกับพระธยานิพุทธ พระหัตถ์ซ้ายวางบนพระเพลา พระหัตถ์ขวาเหยียดพระดัชนีชี้ลงยังธรณี
- พระรัตนสัมภวะ เป็นพระผู้มีกำเนิดอันประเสริฐ นิยมสร้างเป็นพระนั่ง พระหัตถ์ซ้ายวางบนพระเพลา ถือดวงมณี พระหัตถ์ขวามีมุทรา
- พระอมิตาภะ เป็นพระผู้มีรัศมีอันหาที่สุดไม่ได้
- พระอโมฆสิทธะ เป็นพระผู้ทรงความสำเร็จอันไม่ตกหล่น หรือผู้บันดาลความสำเร็จทุกเมื่อให้แก่สรรพสัตว์ นิยมสร้างเป็นพระนั่งสมาธิ สีเขียว
การสร้างเจดีย์ในทางพุทธศาสนาในระยะเริ่มแรกกับระยะหลังมีความแตกต่างกัน
กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เขียนตำนานพระพุทธเจดีย์ กล่าวว่า คติการสร้างเจดีย์ มี 4
ประเภทแต่ละประเภทมีช่วงระยะเวลาการเกิดแตกต่างกัน คือ
การเกิดหลังพระพุทธองค์ปรินิพพานระยะแรก
กับการเกิดหลังพระพุทธองค์ปรินิพพานระยะหลัง
อาณาจักร
พระสูตรในทางพุทธศาสนาลัทธิมหายานมีหลักฐานทำให้อาจเชื่อได้ว่าส่งอิทธิพลต่อศิลป-วัฒนธรรมไทย
คือ มหาชมพูบดีสูตร เป็นพระสูตรสำคัญต่อศิลปกรรม และสถาปัตยกรรมฝ่ายอาณาจักร
กล่าวคือ มหาชมพูบดีสูตรกล่าวถึง พระพุทธองค์ทรงเนรมิตพระกายเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
เสด็จปราบท้าวมหาชมพูบดีให้ละความหลงผิดในอำนาจความยิ่งใหญ่
จนได้สำนึกและได้บรรลุอรหัตผล เรื่องที่พระองค์ทรงเนรมิตพระกายเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
จึงเป็นมูลเหตุให้มีการสร้างพระพุทธปฏิมาทรงเครื่องกษัตริย์ ในรูปของพระอาทิพุทธ
พระไวโรจนพุทธ และพระศากยมุณีพุทธ
เชื่อว่าคติพระสูตรนี้แพร่หลายในการสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่อง และรูปพระโพธิสัตว์
พระพิมพ์ คตินี้ยังฝังอยู่ในการปฏิบัติตามพุทธศิลป์ปฏิมากรรมตลอดมาจวบจนปัจจุบัน
ดังจะเห็นได้จากอิทธิพลแฝงของพุทธศาสนาลัทธิตันตระ
ในฝ่ายมหายานก็ยังคงปรากฏอยู่ให้เห็นในพิธีพุทธาภิเษกต่าง ๆ
ที่ถือเอาพระพุทธรูปเป็นสิ่งที่มีชีวิตหรือมีเทพรักษา
เปรียบดั่งองค์พระเจ้าจักรพรรดิที่พุทธศาสนิกชน พึงถวายการปฏิบัติบูชา
ดังนั้นการศึกษายุคสมัยแหล่งอารยธรรม
และวัฒนธรรมของอาณาจักรที่อยู่ใกล้เคียง จะช่วยทำให้มองเห็นการรับอิทธิพล
การคลี่คลาย เปลี่ยนแปลงศิลปกรรมที่มีรูปแบบเฉพาะ หรือกลุ่มวัฒนธรรมทางด้านจิตใจ
และทางด้านวัตถุได้เป็นอย่างดี จะอย่างไรก็ตามศิลปะไทยเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม
ซึ่งวัฒนธรรมไทยมีลักษณะผสมผสานกันกับลัทธิฮินดูผสมพุทธศาสนาลัทธิหินยาน และมหายาน
เป็นระยะเวลาอันยาวนานก่อให้เกิดศิลปะแม่บทเป็นแบบแผนแต่ละยุคสมัย
ทั้งในส่วนที่เป็นอาณาจักร และศาสนาจักร


