เทคโนโลยี นวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ วิศวกรรม เกษตรศาสตร์ >>
น้ำสกัดชีวภาพ
ประเภทน้ำสกัดชีวภาพ
น้ำสกัดชีวภาพสามารถแบ่งออกตามประเภทของวัตถุดิบที่นำมาใช้ในการผลิตแบ่งได้เป็น
2 ประเภท
1. น้ำสกัดชีวภาพที่ ผลิตจากพืช
2. น้ำสกัดชีวภาพที่ผลิตจากสัตว์
น้ำสกัดชีวภาพที่ผลิตจากพืช
น้ำสกัดชีวภาพที่ผลิตจาก ผัก ผลไม้
วิธีการ
- นำพืช ผัก ผลไม้ ลงผสมกับน้ำตาลในภาชนะที่เตรียมไว้ในอัตราน้ำตาล 1
ส่วนต่อพืช ผัก ผลไม้ 3 ส่วน คลุกให้เข้ากัน
หรือถ้ามีปริมาณมากจะโรยทับสลับกันเป็นชั้น ๆ ก็ได้
- ใช้ของหนักวางทับบนพืชผักที่หมัก เพื่อกดไล่อากาศที่อยู่ระหว่างพืชผัก
ของหนักที่ใช้ทับควรมีน้ำหนักประมาณ 1 ใน 3 ของน้ำหนักพืชผัก วางทับไว้ 1 คืน
ก็เอาออกได้
- ปิดฝาภาชนะที่หมักให้สนิท ถ้าเป็นถุงพลาสติกก็มัดปากถุงพลาสติกให้แน่น
เพื่อป้องกันไม่ให้อากาศเข้าไปได้เป็นการสร้างสภาพที่เหมาะสมให้แก่จุลินทรีย์หมักดองลงไปทำงาน
- หมักทิ้ง ไว้ 3-5 วัน จะเริ่มมีของเหลวสีน้ำตาลอ่อนถึงแก่เกิดขึ้น
จากการละลายตัวของน้ำตาลและน้ำเลี้ยงจากเซลล์ของพืชผัก
น้ำตาลและน้ำเลี้ยงเป็นอาหารของจุลินทรีย์
จุลินทรีย์หมักดองก็จะเพิ่มปริมาณมากมาย พร้อมกับผลิตสารอินทรีย์หลากหลายชนิด
ดังกล่าวข้างต้น ของเหลวที่ได้เรียกว่า น้ำสกัดชีวภาพ
- เมื่อน้ำสกัดชีวภาพมีปริมาณมากพอประมาณ 10-14 วัน
ก็ถ่ายน้ำสกัดชีวภาพออกบรรจุลงในภาชนะพลาสติก
อย่ารีบถ่ายน้ำสกัดชีวภาพออกเร็วเกินไป
เพราะเราต้องการให้มีปริมาณจุลินทรีย์มาก ๆ
เพื่อเร่งกระบวนการหมักน้ำสกัดชีวภาพที่ถ่ายออกมาใหม่ ๆ
กระบวนการหมักยังไม่สมบูรณ์จะมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกิดขึ้น
ต้องคอยเปิดฝาภาชนะบรรจุทุกวันจนกว่าจะหมดก๊าซ
- ควรเก็บถังหมักและน้ำสกัดชีวภาพไว้ในที่ร่ม อย่าให้ถูกฝนและแสงแดดจัด ๆ
น้ำสกัดชีวภาพที่ผ่านการหมัดสมบูรณ์แล้ว ถ้าปิดฝาสนิทสามารถเก็บไว้ได้หลาย ๆ
เดือน
- กากที่เหลือจากการหมัก สามารถนำไปฝังเป็นปุ๋ยบริเวณทรงพุ่มของต้นได้หรือจะคลุกกับดินหมักเอาไว้ใช้เป็นดินปลูกต้นไม้ก็ได้
น้ำสกัดชีวภาพที่มีคุณภาพดีจะมีกลิ่นหมักดอง และมีกลิ่นแอลกอฮอล์บ้าง
มากน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำตาล และปริมาณผลไม้ที่หมัก
ถ้าชิมดูน้ำสกัดชีวภาพจะมีรสเปรี้ยว
วิธีใช้
- ผสมน้ำสกัดชีวภาพ กับน้ำในอัตรา 1 ส่วน ต่อน้ำ 500,1,000 ส่วน รดต้นไม้หรือฉีดพ่นบนใบ
- เริ่มฉีดพ่นเมื่อพืชเริ่มงอกก่อนเป็นโรคและแมลงจะมารบกวน และควรทำในตอนเช้าหรือหลังจากฝนตกหนัก
- ควรให้อย่างสม่ำเสมอ และในดินต้องมีอินทรีย์วัตถุอย่างเพียงพอ เช่น ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก หญ้าแห้ง ใบไม้แห้งและฟาง เป็นต้น
- ใช้กับพืชทุกชนิด
- น้ำสกัดชีวภาพเจือจางใช้แช่เมล็ดพืชก่อนนำไปเพาะ จะช่วยให้เมล็ดงอกเร็วขึ้น และจะได้ต้นกล้าที่แข็งแรงและสมบูรณ์
น้ำสกัดชีวภาพเพื่อป้องกันและกำจัดศัตรูพืช
วิธีการ
- นำผลไม้ซึ่งใช้ได้ทั้งผลไม้ดิบ สุก เปลือกผลไม้
ถ้าเป็นผลไม้ที่มีฤทธิ์ทางยาสมุนไพร เช่น ผลมะม่วงหิมพานต์จะยิ่งดี
หมักผสมกับน้ำตาลหมักในภาชนะที่เตรียมไว้ในอัตราส่วนน้ำตาล 1 ส่วน ต่อผลไม้ 3
ส่วน คลุกให้เข้ากัน หรือถ้ามีปริมาณมากจะโรยทับกันเป็นชั้น ๆ ก็ได้
- ปิดฝาภาชนะที่หมักให้สนิท เพื่อป้องกันไม่ให้อากาศเข้าไปได้ หมักทิ้งไว้
3-5 วัน จะเริ่มมีของเหลวสีน้ำตาลอ่อนถึงแก่เกิดขึ้น
- เมื่อน้ำสกัดชีวภาพมีปริมาณมากพอ ประมาณ 10-14 วัน
ก็ถ่ายน้ำสกัดชีวภาพออกบรรจุลงในภาชนะพลาสติก
อย่ารีบถ่ายน้ำสกัดชีวภาพออกเร็วเกินไป เพราะเราต้องการให้มีจุลินทรีย์มาก ๆ
เพื่อเร่งขบวนการหมักน้ำสกัดที่ถ่ายออกมาใหม่ กระบวนการหมักยังไม่สมบูรณ์
จะมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกิดขึ้น
ต้องคอยเปิดฝาภาชนะบรรจุทุกวันจนกว่าจะหมดก๊าซ
- นำสมุนไพรร่วมกับน้ำสกัดชีวภาพ ได้แก่ ใบสะเดา ตะไคร้หอม ฟ้าทลายโจร กระเทียม พริกขี้หนู ว่านหางจระเข้ ขิงข่า และยาสูบ เป็นต้น นำมาทุบหรือตำให้แตก ใส่น้ำให้ท่วม หมักไว้ 1 คืน เพื่อสกัดเอาน้ำสมุนไพร นำไปกรองเอาแต่น้ำ
วิธีใช้
- ผสมน้ำสกัดชีวภาพกับน้ำสมุนไพรและน้ำในอัตราส่วนน้ำสกัด 1 ส่วน น้ำสมุนไพร 1 ส่วน และน้ำ 200 500 ส่วน
- ฉีดพ่นต้นพืชให้เปียกทั่ว ควรเริ่มใช้หลังต้นพืชเริ่มงอก ก่อนที่โรคและแมลงจะมารบกวน
- ควรใช้ในตอนเช้าหรือหลังฝนตก และใช้อย่างสม่ำเสมอ
น้ำสกัดชีวภาพที่ผลิตจากขยะเปียก
วิธีการ
- นำขยะเปียก ได้แก่ เศษอาหาร เศษผัก ผลไม้ จำนวน 1 กิโลกรัม
- นำมาใส่ถั่งหมัก แล้วเอาปุ๋ยจุลินทรีย์โรยลงไป 1 กำมือ หรือประมาณเศษ 1 ส่วน 20 ของปริมาตร ของขยะ
- ปิดฝาให้เรียบร้อย หมักไว้ 10-14 วันจะเกิดการย่อยสลายของขยะเปียกบางส่วนกลายเป็นน้ำ
- กรณีที่ขยะหอมคล้ายกับกลิ่นหมักเหล้าไวน์ วิธีการดังกล่าวจุลินทรีย์จะสามารถย่อยสลายขยะเปียกได้ประมาณ 30-40 % ส่วนที่เหลือประมาณ 60-70 % จะกลายเป็นกากซึ่งก็คือปุ๋ยหมักสามารถนำไปใช้ในการเกษตรได้
น้ำสกัดชีวภาพที่ผลิตจากสัตว์
น้ำสกัดชีวภาพจากปลา
อัตราส่วน /1 ถัง 200 ลิตร
ปลาสด 40 กก.
กากน้ำตาล 20 กก.
สารเร่งผลิตปุ๋ยหมัก 200 กก. (1 ซอง)
วิธีการ
- เตรียมสารเร่งผลิตปุ๋ยหมัก 1 ซอง ละลายน้ำอุ่นประมาณ 20 ลิตร คนให้เข้ากันประมาณ 15 30 นาที (อย่าให้น้ำนิ่ง)
- นำปลาสดและกากน้ำตาล ที่เตรียมไว้ใส่ถัง 200 ลิตร และนำสารเร่งทำปุ๋ยหมักที่เตรียมเสร็จแล้วใส่ในถังรวมกับปลาสด และกากน้ำตาล
- ใส่น้ำพอท่วมตัวปลา ( ½ ถัง ) แล้วคนให้เข้ากัน ตั้งทิ้งไว้ที่อุณหภูมิปกติ ( 30 35 องศา ) ไม่ปิดฝา ควรก่อนวันละ 4 5 ครั้ง ตลอดระยะเวลาในการหมัก
- ระยะเวลาในการหมักประมาณ 20 30 วัน ปลาจะย่อยสลายหมด เติมน้ำให้เต็มถัง และคนให้เข้ากันก่อนที่จะนำไปใช้ จะได้ปุ๋ยชีวภาพ 200 ลิตร
อัตราการใช้
ปุ๋ยชีวภาพ
น้ำ
ฉีดพ่นทางใบ 1 ลิตร 200 ลิตร
ราดโคน 1 ลิตร 200 ลิตร
หมายเหตุ สารเร่งผลิตปุ๋ยหมักขอได้จาก
กรมพัฒนาที่ดินหรือสถานีพัฒนาที่ดินจังหวัดใกล้บ้าน
สถานีพัฒนาที่ดินจังหวัดจันทบุรี โทร. 039-371009, 039-371230
น้ำหมักชีวภาพจากปลา
วิธีการ
- นำพุงปลาและเลือดปลามาทำการบดให้มีขนาดเล็ก
- นำไปหมักโดยใช้กรดมดเข้มข้น (formic acid) หรือกรดน้ำส้มสายชูเข้มข้น
(Acetic acid) 3.5 % (โดยปกติน้ำส้มสายชูที่ขายในท้องตลาดจะมีความเข้มข้น 5 %
สามารถนำใช้ผสมในสูตรได้เลย) ปริมาณที่ใช้ร้อยละ 3.5
- ผสมให้เข้ากัน แล้วเติมน้ำตาลในปริมาณร้อยละ 20
เพื่อช่วยดับกลิ่นคาวจากเศษปลา
- คนให้เข้ากันและคนติดต่อกัน อย่างน้อยเป็นเวลา 7 วัน ในระยะนี้จะสังเกตเห็นว่าพุงปลาเริ่มมีการละลายออกมาเป็นสารละลายเกือบหมดแล้ว ทำการหมักต่อไปอีกเป็นเวลา 21 วัน ระหว่างนี้ทำการคนเป็นครั้งคราว การหมักปุ๋ยปลาถ้าใช้เวลานานจะได้ปุ๋ยปลาที่มีคุณภาพและกลิ่นที่ดี
วิธีใช้
อัตราใช้ 10 15 ซีซี ฉีดพ่นทางใบทุก ๆ 15 วัน หรือใช้รดโคนต้นในปริมาณ 25 30
ซีซีต่อต้น
น้ำสกัดชีวภาพจากหอยเชอรี่
วัสดุอุปกรณ์
1. เนื้อหอยเชอรี่ที่ไม่มีเปลือก
2. ไข่หอยเชอรี่
3. พืชสดอ่อน-แก่
4. เนื้อหอยเชอรี่พร้อมเปลือก
5. น้ำตาลโมลาส
6. ถังหมักที่มีฝาปิด ขนาด 30 ลิตร หรือ 200 ลิตร
7. หัวเชื้อจุลินทรีย์ธรรมชาติ
8. ถังบรรจุหัวเชื้อจุลินทรีย์ธรรมชาติ
9. แกลลอน/ถัง บรรจุผลิตผลปุ๋ยหมักจากหอยเชอรี่
10. กรวยกรองปุ๋ยน้ำหมักจากหอยเชอรี่
วิธีการ
วิธีที่ 1 การทำน้ำหมักชีวภาพจากหอยเชอรี่ทั้งตัวพร้อมเปลือก
นำตัวหอยเชอรี่ทั้งตัวมาทุบหรือบดให้ละเอียด
จะได้เนื้อหอยเชอรี่พร้อมเปลือกและน้ำจากตัวหอยเชอรี่ และนำไปผสมกับน้ำตาลโมลาส
และน้ำหมักหัวเชื้อจุลินทรีย์ธรรมชาติ อัตรา 3:3:1 คนให้เข้ากัน
และนำไปบรรจุในถังหมักขนาด 30 ลิตร หรือ 200 ลิตร
อย่างใดอย่างหนึ่งปิดฝาทิ้งไว้อาจคนให้เข้ากันหากมีการแบ่งชั้น
ให้สังเกตดูว่ามีกลิ่นเหม็นหรือไม่ ถ้ามีกลิ่นเหม็นให้ใส่น้ำตาลโมลาสเพิ่มขึ้น
และคนให้เข้ากันจนกว่าจะหายเหม็น
ทำอย่างนี้เรื่อยไปจนกว่าจะไม่เกิดแก๊ซให้เห็นบนผิวหน้าของน้ำหมักหอยเชอรี่
แต่จะเห็นความระยิบระยับอยู่ที่ผิวหน้าน้ำหมักดังกล่าว
บางครั้งอาจจะพบว่ามีตัวหนอนลอยบนผิวหน้าและบริเวณข้างถังภาชนะบรรจุ
ควรรอจนกว่าตัวหนอนดังกล่าวตัวใหญ่เต็มที่และตายไป
ถือว่าน้ำหมักหอยเชอรี่ทั้งตัวเสร็จสิ้นขบวนการกลายเป็นน้ำหมักชีวภาพหอยเชอรี่
สามารถนำไปใช้ได้หรือนำไปพัฒนาผสมกับปุ๋ยน้ำอื่น ๆ ใช้ประโยชน์ต่อไป
วิธีที่ 2 การทำน้ำหมักชีวภาพจากหอยเชอรี่
นำไข่หอยเชอรี่หรือกลุ่มไข่หอยเชอรี่มาทุบหรือบดให้ละเอียด
จะได้น้ำไข่หอยเชอรี่พร้อมเปลือก
แล้วนำไปผสมกับน้ำตาลโมลาสและน้ำหมักหัวเชื้อจุลินทรีย์ธรรมชาติ อัตรา 3:3:1
คนให้เข้ากันแล้วนำไปหมักตามขบวนการเช่นเดียวกับวิธีที่ 1
วิธีที่ 3 การทำน้ำหมักชีวภาพจากไข่หอยเชอรี่และพืช
นำไข่หอยเชอรี่หรือกลุ่มไข่หอยเชอรี่มาทุบหรือบดให้ละเอียด
และนำไปผสมกับพืชส่วนที่อ่อน ๆ หรือส่วนยอดความยาวไม่เกิน 6 นิ้ว หรือไม่เกิน 1 คืบ
ที่หั่นหรือบดละเอียดแล้วเช่นกัน แล้วนำมาผสมกันในอัตราส่วน ไข่หอยละเอียด :
น้ำตาลโมลาส : พืชส่วนอ่อนบดละเอียด และน้ำหมักหัวเชื้อจุลินทรีย์ธรรมชาติ คือ
3:3:1 แล้วนำไปหมักตามขบวนการเช่นเดียวกับวิธีที่ 1
วิธีที่ 4 นำตัวหอยเชอรี่ทั้งตัวจำนวนเท่าใดก็ได้มาต้มในกะทะ
พร้อมทั้งใส่เกลือแกงผสมไปด้วยในจำนวนพอเหมาะ
เพื่อให้เนื้อหอยเชอรี่แยกจากเปลือกได้ง่ายขึ้น
และนำเฉพาะเนื้อหอยเชอรี่มาบดให้ละเอียด ให้ได้จำนวน 3 ส่วน
เพื่อผสมกับน้ำตาลโมลาสและน้ำหมักจากเชื้อจุลินทรีย์ธรรมชาติอัตรา 3:3:1
คนให้เข้ากันแล้วนำไปหมักตามขบวนการเช่นเดียวกับวิธีที่ 1
วิธีที่ 5 การทำน้ำหมักชีวภาพจากเนื้อหอยเชอรี่และพืชสด
นำเนื้อหอยเชอรี่ที่ได้จากการต้มกับเกลือเหมือนวิธีที่ 4
มาบดให้ละเอียดแล้วนำไปผสมกับ น้ำตาลโมลาส
และชิ้นส่วนของพืชที่อ่อนๆเหมือนอัตราส่วนเนื้อหอยเชอรี่บดละเอียด :
น้ำหมักหัวเชื้อจุลินทรีย์ คือ 3:3:1 ผสมให้เข้ากันอย่างดี
แล้วนำไปหมักเช่นเดียวกับขบวนการเช่นเดียวกับวิธีที่ 1
วิธีที่ 6 การทำน้ำหมักชีวภาพจากเนื้อหอยเชอรี่ ไข่หอยเชอรี่ และพืชสด
วิธีการนี้เป็นการผสมปุ๋ยหมักแบบเบ็ดเสร็จ
ไม่ต้องแยกวัสดุแต่ละชนิดควรใช้อัตราส่วนดังนี้ เนื้อหอยเชอรี่พร้อมเปลือก
หรือเนื้อหอยเชอรี่อย่างเดียว : ไข่หอยเชอรี่ : พืชอ่อน อัตรา 3:3:5
6:2:3มีข้อสังเกตเพียงดูว่ามีกลิ่นเหม็นหรือไม่เพียงใด
หากมีกลิ่นเหม็นให้เติมน้ำตาลโมลาส
และน้ำหมักหัวเชื้อจุลินทรีย์ธรรมชาติเพิ่มขึ้นจนกว่าจะไม่มีกลิ่น
จะใช้เวลานานแค่ไหนเพียงใด
ให้ดูลักษณะผิวหน้าของน้ำหมักเช่นเดียวกับการทำน้ำหมักหัวเชื้อจุลินทรีย์ธรรมชาติ
อัตราการใช้
พืชที่มีอายุน้อย ระยะการเจริญเติบโตแรก ๆ ใช้อัตรา 1:500 10,000
หรือจากการทดสอบเบื้องต้นพบว่าอัตราที่เหมาะสม คือ 20 ซีซี / น้ำ 20 ลิตร
สามารถใช้ได้ 7 10 วัน ขึ้นอยู่กับชนิด อายุ
ช่วงการเจริญเติบโตของแต่ละพืชว่าเป็นพืชผัก ไม้ดอกไม้ประดับ ไม้ผล ไม้ยืนต้น
พืชไร่ ข้าว เป็นต้น ซึ่งยังต้องการข้อมูลจากการทดสอบอีกมาก
» ประเภทน้ำสกัดชีวภาพ
»
การใช้ประโยชน์จากน้ำสกัดชีวภาพ


