ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม อารยธรรม >>

ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม ที่สำคัญในจังหวัดลำพูน

ประเพณีปอยหลวง

คำว่า “ปอย” เป็นภาษาพม่าแปลว่า “งานที่มีคนชุมกัน” ถ้ามีคนชุมกันน้อยเราเรียกว่า “ปอยน้อย” ถ้ามีคนชุมกันมากเราเรียกว่า “ปอยหลวง” ในที่นี้คำว่า “ปอยหลวง” จึงได้แก่ “งานมหกรรม” นั่นเอง

ล้านนาไทยมีประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาแต่โบราณว่า เมื่อสร้างสิ่งที่เป็นสาธารณะประโยชน์ขึ้นเสร็จแล้ว หรือสิ่งที่เป็นถาวรวัตถุถวายพระภิกษุสงฆ์เสร็จแล้วจะจัดให้มีการฉลองสิ่งนั้นอีกครั้งหนึ่ง เรียกว่า “ปอยหลวง” สิ่งที่เราจะต้องจัดปอยหลวง
1. อุโบสถ
2. วิหาร
3. ศาลา
4. กำแพง
5. กุฏิ (โบราณไม่ปอยหลวง)
6. หอธรรม (หอไตร)
7. ตอนหลังเพิ่มสิ่งที่เป็นสาธารณะประโยชน์เข้ามาด้วยเช่นโรงเรียน ถนนหนทาง โรงพยาบาล ฯลฯ

เมื่อทางวัดได้ก่อสร้างสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่กล่าวแล้ว เสร็จเรียบร้อยบริบูรณ์ ก็จะประชุมศรัทธาผู้อุปัฏฐากของวัด (ซึ่งมีอยู่ประจำทุก ๆ วัด เรียกว่า ศรัทธาวัดนั้นวัดนี้เป็นต้น) เพื่อปรึกษาหารือเรื่องจะมีงานฉลอง การประชุมกันเช่นนี้ย่อมมีฝ่ายที่เห็นด้วย และฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยต้องลงมติกัน ฝ่ายไหนชนะมีจำนวนมากกว่า ก็ทำตามฝ่ายนั้น เรื่องที่จะลงมติกันมักอยู่ในเรื่องจะปอยหลวงหรือไม่ หรือจะทานสังฆ์ (ตานสังฆ์)

การทานสังฆ์
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ก็อยากจะอธิบายให้ทราบถึงเรื่อง “ทานสังฆ์” ให้เป็นที่เข้าใจกัน “สังฆ์” คืออะไร ? คนภาคอื่นอาจเข้าใจว่าเป็น “พระสงฆ์” ความจริง “สังฆ์” ในที่นี้หมายถึง “ไทยธรรมที่จะถวายทานแก่พระสงฆ์” การทานสังฆ์ก็คือการถวายทานไทยธรรมแก่สงฆ์นั่นเอง

ถ้ามติตรงกัน “จะทานสังฆ์” งานการที่จะจัดก็ลดความใหญ่โตมโหฬารลง คือ ไม่มีการละเล่น ไม่มีการแห่ครัวทานไม่จำเป็นต้องมีการแผ่นาบุญให้แก่ญาติพี่น้อง เพียงนิมนต์พระสงฆ์ภายในตำบลมารับไทยธรรม เจริญพระพุทธมนต์ให้เป็นมงคลแก่สิ่งปลูกสร้างตามธรรมเนียม แล้วทานสังฆ์แก่พระสงฆ์เป็นเสร็จพิธี



ส่วนศรัทธาของวัดนั้นก็ไม่จำเป็นจะต้องทำครัวทานใหญ่ ๆ เพียงแต่เตรียมทำสังฆ์สักลูกหนึ่งแบกไปวัดเท่านั้น แต่ว่าทุกหลังคาเรือนของวัดนั้น มักจะต้องเป็นศรัทธาสังฆ์ใส่ยอดตามเจตนาหลังคาละ 1 สังฆ์เป็นอย่างน้อย เงินรายได้จากการทานสังฆ์จะไม่ต้องนำไปใช้จ่ายเป็นค่าการละเล่นเหมือนงานปอยหลวง ทางวัดมักจะได้รับเงินเป็นกอบเป็นกำ ทางบ้านก็ไม่สิ้นเปลืองด้วย การเลี้ยงดูญาติพี่น้อง นับเป็นประเพณีปอยหลวงอย่างประหยัด ได้ผลดีเหมือนกัน

งานปอยหลวง
ส่วนงานปอยหลวงนั้น เป็นงานใหญ่เป็นงานมหกรรมทีเดียว มีประเพณีทำสืบต่อกันมาแต่โบราณ เข้าใจว่าจะยึดเอาแบบอย่างของนางวิสาขามหาอุบาสิกา ซึ่งสร้างวัดชื่อ “บุพพาราม” ถวายพุทธเจ้าในพุทธกาล ตามตำนานกล่าวว่าวัดนั้นวิจิตรงดงามเหลือหลายเมื่อสร้างแล้วนางจัดให้มีงานฉลองที่ครึกครื้น ส่วนนางวิสาขาเองเกิดปิติพาลูกหลานฟ้อนรอบวิหาร

เข้าใจว่าจะเป็นดังกล่าวจึงเป็นต้นเหตุให้เกิดงานปอยหลวงขึ้น หลังจากสร้างสิ่งถาวรถวายแก่พระสงฆ์ มีการฟ้อนรำเป็นการสมโภช แม้ว่าความมุ่งหมายจะแปรไปในทางสนุกสนานก็ตามที ก็ยังเชื่อว่า “เป็นประเพณีที่ดีงามอยู่”เมื่อตกลงกันว่าจะปอยหลวงแล้ว ทางวัดก็ต้องจัดแจงตระเตรียมหลายอย่าง เช่น

1. ทำความสะอาดวัดซ่อมแซมส่วนอื่นของวัดให้ดีขึ้น
2. ขออนุญาติจากเจ้าคณะ
3. พิมพ์ใบฎีกา นิมนต์หัววัดที่เคยทำบุญถึงกัน
4. ตั้งกรรมการดำเนินงานทุกแผนก เช่นแผนกต้อนรับ แผนกทำอาหาร แผนกการเงิน เป็นต้น

ส่วนทางบ้านศรัทธาของวัดนั้น เมื่อตกลงจะมีงานปอยหลวงแล้ว ก็ตระเตรียมทำบ้านช่องให้สะอาด บอกข่าวแก่ญาติพี่น้องลูกหลานที่อยู่ไกลให้ทราบ เพื่อมาร่วมทำบุญด้วยกัน งานปอยหลวงจึงเป็นการนัดชุมนุมญาติหลาย ๆ เพราะอยู่ที่ไหนเมื่อวัดเดิมของตัวมีงาน ย่อมจะมาร่วม ยกเว้นแต่ผู้ที่ลำบากจริง ๆ ที่ไม่อาจมาได้ เมื่อบอกข่าวแก่ญาติแล้วก็เตรียมครัวทาน ที่ชื่อว่า “ครัวทาน” นั้น คือ “สิ่งของที่จะนำไปถวายทาน คำว่า “ครัว” ล้านนาไทย หมายถึง สิ่งของเครื่องใช้ทั้งสิ้น“ห้องครัว”คือห้องที่ใช้เก็บสิ่งของนั้นเอง

“ครัวทาน” ของแต่ละบ้านแห่งศรัทธาวัดนั้น เขาจะสร้างขึ้นตามเจตนาของตนอาจทำเป็นปราสาท เป็นเรือน เป็นรูปนก ช้าง ม้า หงส์หรือทำเป็นยอดฉัตร มีค้างมีฐานตั้งประดับประดาให้วิจิตรพิสดาร นิยมทำกันเป็นครัวทานหลังโต ๆตั้งไว้กลางห้องโถงไม่นิยมเอาวัตถุไว้ใต้ถุนบ้าน เพราะถือว่าเป็นของทานของสูง ใช้เวลากว่าครึ่งเดือนในการทำครัวทานนี้สิ่งใดที่สวยงามตามความเข้าใจของเขา เขาจะนำมาประดับครัวทาน บางบ้านก็ซื้อ ตู้ โต๊ะ เก้าอี้ ธรรมาสน์ ถังน้ำ ฯลฯ มาประดับเป็นครัวทาน เรียกกันว่าเป็นอิสระในการทำครัวทานจริง ๆ ที่บนปลายยอดของครัวทานจะทำไม้คีบธนบัตรปักไว้ ไม่จำกัดจำนวนอีกว่าเท่าไร แล้วแต่เจตนาอีกเช่นกัน

การทำครัวทานให้ใหญ่ มีคนสมัยใหม่บางท่านไม่เข้าใจ คือเขาเข้าใจว่า “การทำปอยหลวงก็คือทางวัดต้องการเงิน เอาเงินที่ใช้ซื้อไม้ กระดาษเอามาทำเป็นครัวทานแล้วก็ทิ้งใช้ประโยชน์ไม่ได้ สู้เอาเงินมาถวายพระดีกว่า” ถ้ามองอย่างนักเศรษฐกิจมองวัตถุก็จะเป็นเช่นคนสมัยใหม่เข้าใจ แต่ไม่ถูกตามความหมายทางพระพุทธศาสนา การทำบุญเราต้องการบุญไม่ใช่ต้องการเงิน บุญคือความสุข ความอิ่มใจ ความเบิกบานแห่งใจ

การที่คนโบราณนิยมให้ทำครัวทานหลังโต ๆ นั้น โดยเฉพาะให้ตั้งไว้กลางห้องโถงบนเรือนทางล้านนาไทยมีคติถือว่า “คนไทยเมื่อใกล้จะสิ้นใจ” ถ้าใจดีก็จะไปสู่สุคติ ถ้าใจชั่วก็ไปสู่ทุคติทางร้าย เขาจะเตือนสติผู้ใกล้จะสิ้นใจว่า “ให้นึกถึงของกินของทานไว้เน้อ” แล้วจะกล่าวสอนคำว่า “พุทโธ” เป็นการเตือนสติคนใกล้จะตาย” คนใกล้จะตายนั้นจิตสำนึกของเขาย่อมจะสับสน ความดีความชั่วประดังประเดเข้ามาในตอนนั้นครัวทานหลังโตๆที่เคยสร้างและเคยประดิษฐานอยู่กลางห้องโถงย่อมเป็นนิมิตที่ใจจะเกาะยึดถือได้ง่าย เพราะเป็นของใหญ่จำติดหูติดตาได้ง่าย ข้อนี้เป็นเหตุผลประการหนึ่งของการทำครัวทาน

เหตุผลข้อที่ 2 การทำครัวทานหลังโต ๆ แบบล้านนาไทย ท่านว่าได้บุญมาก มากกว่าเอาเงินใส่ซองไปถวายพระเป็นจำนวนมากเสียอีก เพราะครัวทานที่ทำใหญ่โตสวยงามเช่นนั้นเมื่อแห่ไปตามถนนท่ามกลางสายตาแห่งคนจำนวนมาก ผู้ใดได้เห็นก็ชมว่าสวยงาม พลอยชื่นชมยินดีร่วมด้วยผู้นั้นย่อมได้บุญร่วมกับเจ้าภาพสำเร็จด้วยอนุโมทนา นี้เป็นเหตุผลข้อที่ 2

การที่ผู้ใดเป็นเจ้าภาพสร้างทำประดิษฐ์ครัวทาน จะใช้เวลานานเท่าใดก็ตามระหว่างเวลาที่กำลังกระทำอยู่นี้ ชื่อว่ามีจิตเป็นบุญกุศล มีแต่บุญกุศลเท่านั้นที่ไหลวนเวียนอยู่ในห้วงความคิดของเขา เป็นการยากมากที่จะดึงอารมณ์ปุถุชนให้เพลิดเพลินด้วยบุญกุศลเช่นนี้ได้ นอกจากมีสิ่งล่อให้เช่นสร้างครัวทานเป็นต้น

เหตุผลทั้ง 3 ประการที่กล่าวมานี้ เป็นเหตุให้เกิดประเพณีปอยหลวงขึ้น เพื่อให้พวกเราได้ปฏิบัติสืบต่อกันมา นับเป็นวิธีอุบายวิธีอันฉลาดที่จูงใจคนเข้าสู่ธรรมโดยไม่รู้ตัว แม้ในสมัยปัจจุบันนี้ความหมายจะแปรไปเพราะความไม่เข้าใจ หรือรู้ไม่ถึงความมุ่งหมายของประเพณีอย่างน้อยที่สุดก็ยังเลือกความดีที่มองเห็นอยู่ คือเป็นที่รวมญาติและเป็นการประกาศตัวให้คนอื่นรู้ว่าเป็นชาวพุทธ

การแห่พระมหาอุปคุตด์
ในสมุดข่อยหรือพับลั่นตำราเรียนธรรมของล้านนาไทย ท่านกล่าวไว้ว่า “พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตยู่ 4 องค์ คือ พระอุปคุตต์อยู่ในโลหะปราสาทในสมุทรทิศเหนือ 1 พระสารมัตตะอยู่ในปราสาททิศเหนือ พระสกโสสาระอยู่ในปราสาททิศตะวันออก 1 พระเมธาระอยู่ในโลหปราสาทสมุทรทิศตะวันตก 1 และกล่าวถึงพระอรหันต์ที่นิพพานไปแล้ว แต่ร่างกายไม่เน่าเปื่อยอีก 4 องค์ คือ พระมหากัสสปะอยู่ใน

เขาเวภารบรรพต 1 พระมหาสุภระอยู่ในเขาอุตตมะ 1 พระอุปักขายะอยู่ในเขามกุระ 1 พระธรรมสาระอยู่ในเขามิสสกะ 1 “ในพระอรหันต์ 4 องค์ที่ยังมีชีวิตอยู่ ชาวล้านนาไทยคุ้นเคยกับพระมหาอุปคุตต์มาก

แม้แต่เด็ก ๆ ก็รู้จักชื่อท่าน เพราะวันใดเป็นวันเดือนเพ็ญตรงกับวันพุธท่านว่า “พระมหาอุปคุตต์จะออกมาบิณฑบาตผู้ใดได้ใส่บาตรท่าน จะประสบโชคดีในวันนั้นทีเดียว “ทางจังหวัดเชียงใหม่ยังถือปฏิบัติกันอยู่ใน ปัจจุบันนี้ เรื่องของท่าน พระมหาอุปคุตต์นี้เลื่องลือมาก ก็ตอนที่พระเจ้าอโศกมหาราชฉลองพระธาตุแปดหมื่นสี่พันหลัง ปรากฏว่ามีพระยามารมารบกวนทำให้งานฉลองครั้งนั้นยุ่งยากปั่นป่วน ไม่เป็นที่สงบ พระเจ้าอโศกมหาราชได้นิมนต์ มาช่วยมัดพระยามารไว้ ไม่ให้ออกไปรบกวนงาน งานฉลองครั้งนั้นจึงดำเนินไปอย่างสงบ จนเสร็จงานเป็นเวลาเดือนหนึ่งจึงได้ปล่อยพระยามารไป

ที่เล่ามาข้างบนนี้เป็นประวัติย่อของพระอุปคุตต์ คนล้านนาไทยรู้เรื่องท่านดังกล่าวด้วยเหตุนี้เมื่อจะมีงานทำบุญปอยหลวงกัน ก็เจริญรอยตามแบบของพระเจ้าอโศกมหาราช คือต้องทำคานหามมีพานดอกไม้ แห่ฆ้องกลองไปเป็นขบวน มุ่งหน้าสู่ท่าน้ำ จะเป็นท่าน้ำที่ไหนก็ได้เมื่อไปถึงท่าน้ำแล้ว อาจารย์จะเป็นผู้กล่าวคำอาราธนานิมนต์พระมหาอุปคุตต์คนที่ไปทั้งหมดก็ประนมมือฟังไปด้วย ใจความคำว่านิมนต์ก็ว่า “จะมีงานฉลอง เกรงว่าจะมีเหตุเภทภัยโดยลูกน้องพระยามารจะมากลั่นแกล้ง ทำให้งานไม่ราบรื่น ขออาราธนานิมนต์ท่านมหาอุปคุตต์เถระเจ้า ไปช่วยคุ้มครองป้องกัน “แล้วก็ให้คนใดคนหนึ่งลงไปในแม่น้ำ งมไปตามบริเวณนั้นได้ก้อนหินสักก้อนหนึ่งก็สมมุติเป็นพระมหาอุปคุตต์เอาวางไว้บนคานหาม แล้วก็แห่กลับคืนมาสู่วัด

ในวัดที่มีการปอยหลวงนั้น ถ้าท่านสังเกตจะเห็นว่ามีวิหารเล็ก ๆ หลังหนึ่ง ทำขึ้นชั่วคราวในนั้นจะมีเครื่องอัฐบริวารครบ ส่วนมากวิหารน้อยหลังนี้จะตั้งอยู่หน้าวิหารใหญ่ ที่นี่แหละเป็นที่อยู่ของท่านมหาอุปคุตต์ ซึ่งเขาไปนิมนต์ท่านมาจากแม่น้ำมาประดิษฐานไว้ในวิหารนี้ ถ้ามีคำถามแทรกเข้ามา ก้อนหินที่แห่มาสมมุติเป็นท่านมหาอุปคุตต์จะช่วยคุ้มครองงานได้อย่างไร พึงตอบว่า“เมื่อคนที่เป็นศรัทธาของวัดนั้นไปพร้อมกับอาราธนานิมนต์ท่าน เพื่อขอท่านมาช่วยคุ้มครองรักษาก็เท่ากับว่าศรัทธาวัดนั้นต้องการความสงบ เมื่อเจ้าถิ่นสงบ คนต่างถิ่นก็ยากที่จะมายุ่ง การกระทำเช่นนี้เป็นไปตามจิตวิทยาถ้าตั้งใจทำจริง ๆ โดยความพร้อมเพรียงกันย่อมได้ผลอย่างแท้จริง

การทานทุง (การตานตุง)
ก่อนจะถึงงานสัก 2-3 วันจะเป็นวันนัดทานทุง(ตานตุง) โดยศรัทธาของวัดนั้นเป็นผู้สร้างทุงถวายใครจะทานก็ได้ไม่ทานก็ได้ แต่ส่วนมากจะทานกัน เมื่อจะมีงานฉลองวันทานทุงนี้ทำตอนเช้ามีพิธีทำบุญตักบาตรแล้วก็เวนทานทุง เมื่อเสร็จแล้ว ทุงของใครของมันเขาจะนำมาฝังค้าง(เสาไม่ไผ่)สูง 3-4 วา ฝังเป็นระเบียบเป็นแนวจากหน้าวัดออกไปสู่สองฟากถนนที่จะเข้ามาหาวัด บางคนทานทุงมาก จะปักฝังออกมาไกล-จากวัด เราขี่รถผ่านทุงนี้มีที่ไหน ก็รู้ว่าวัดแถวนั้นจะมีงานหรืองานปอยหลวง

การสร้างทุงถวายทาน เป็นคตินิยมของคนล้านนาไทยมาแต่โบราณ ด้วยความเข้าใจว่า เมื่อตายไปแล้วได้ไปตกนรกก็ดี ชายทุงที่ตัวเคยทานไว้นั้นอาจช่วยกวัดเอาวิญญาณพ้นจากนรกหรืออาจช่วยปัดสิ่งร้าย ๆทั้งหลายให้ห่างตัวไป จะสังเกตเห็นตามถนนหนทางที่มีรถวิ่งเป็นประจำเขาจะปักทุงส่วนมากสีแดงไว้ จะมีกองทรายใบตองแห้ง ๆ อยู่พึงรู้ว่าตรงนั้นมีคนตายโหง การที่เขาทานทุงปักทุงไว้ตรงนั้น เพราะเข้าใจว่าชายทุงนั้นจะช่วยกวัดวิญญาณของคนตายไปเกิดในที่ชอบ ไม่ให้เป็นอสูรกายผีร้ายอยู่ที่นั้น

สมัยโบราณจริงๆท่านให้ทานทุงเหล็กทุงทอง อุทิศส่วนกุศลไปหาผู้ที่ตายไปเป็นเปรต เป็นอสูรกาย สามารถช่วยเหลือให้หลุดพ้นจากภาวะนั้นได้ เรื่องนี้ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ชื่อ พลสังขยา เป็นเรื่องยาวจะนำมาเล่าก็เห็นว่าทำให้เรื่องนี้ยาวเกินไป ผู้อยากทราบพึงหาอ่านเอาเอง มีตามวัดวาอารามตามลานนาไทย

วันแรกของงานปอยหลวง
วันแรกนี้ตอนเช้าทำบุญตักบาตรตามประเพณี ตลอดวันนี้จะเป็นวันครัวทานที่จะทานหาคนตายเข้า ครัวทานเหล่านี้ส่วนมากจะเป็นเรือนมีเครื่องพร้อม หรือสิ่งของอื่น ๆ ที่เขาคิดว่าควรแก่ผู้ตาย เขาจะนำครัวทานเข้าวัดนี้ทั้งสิ้น

ที่นิยมให้เอาครัวทานอุทิศหาคนตายมาเข้าในทานวันแรกนี้ ก็เพราะเหตุว่าสมัยโบราณนั้นเครื่องใช้เกี่ยวกับงานฉลอง เป็นต้นว่า ถ้วย ชาม เสื่อ หม้อแกง ครกพริก ฯลฯ เป็นของใช้ที่มีไม่มาก เพื่อให้ได้สิ่งของเหล่านี้ในงานไปเลย จึงกำหนดให้ครัวทานชนิดนี้เข้าทานในวันแรก

ถ้างานนั้นมีครัวทานเข้าวันเดียวหรือ 2 วัน วันแรกเช้านี้จะมีหัววัดทั้งหลายแห่ครัวทานเข้ามาทานด้วย แล้วแต่ทางวัดจะกำหนดนัดมา

วันต่อมาก็เป็นวันครัวทานหัววัดหรือชาวบ้านแห่เข้ามา ทางวัดได้จัดเจ้าหน้าที่ต้อนรับไว้ จะมีคนถือพานดอกไม้ ถือโคนโทใส่น้ำ กั้นสัปทน คอยต้อนรับอยู่ ที่หน้าวัดนิยมทำร้านสูงเสมอกำแพงมุมเรียบร้อย เพื่อให้ฆ้องกลองอยู่คอยแห่รับครัวทาน ที่ปรำหน้าวัดหรือในวัดจะจัดช่างฟ้อนของวัดคอยฟ้อนต้อนรับครัวทานเหมือนกัน

เมื่อครัวทานหัววัดแห่ไปถึง คนถือสัปทนก็จะนำสัปทนไปกั้นให้พระที่นำครัวทานมา คอยรินน้ำจากโคนโทถวายท่าน ผู้ที่ถือพานดอกไม้ก็นำพานดอกไม้มาถวายท่าน เป็นการนิมนต์เพื่อให้เข้าไปในวัด พิณพาทย์ฆ้องกลองบนร้านที่ประตูวัดก็แห่ต้อนรับช่างฟ้อนของวัดก็จะออกมาฟ้อนรับ เป็นที่สนุกสนานมาก บางวัดก็มีการฟ้อนรำนำขบวนน่าสนุกสนานมาก หรือแสดงการละเล่นต่าง ๆ มา

วันสุดท้ายของงาน
ทุกวันตอนเช้าจะมีการทำบุญตักบาตรเป็นประจำ เพื่อที่จะนำข้าวที่ศรัทธามาใส่บาตรไว้เลี้ยงแขกในตอนกลางวัน ตอนสายครัวทานก็แห่แหนเข้ามา

ตามหมู่บ้านของศรัทธาจะมีญาติพี่น้องลูกหลานมาค้างคืนเพื่อร่วมทำบุญ ตั้งแต่วันก่อนงาน หรือระหว่างงานก็มี สาย ๆมาพวกญาติพี่น้องที่ไม่มานอนจะมา“ฮอมครัว”คือนำเงินมารวมเป็นต้นมาร่วมทำบุญกับเจ้าภาพ จะมีการเลี้ยงของหวานกันก่อน เมื่อถึงยามเที่ยงก็เลี้ยงอาหารกันขึ้นบ้านใดก็จะรับประทานบ้านนั้น ญาติพี่น้องที่มาฮอมครัวจะลงบ้านนั้นขึ้นบ้านนี้ จนหมดตามวงศาคณาญาติที่มีอยู่

ถึงตอนบ่ายก็แห่ครัวทานของศรัทธาวัดนั้นเข้าวัด เป็นที่สนุกสนานยิ่ง เพราะจะมีครัวทานเต็มถนนหนทาง เสียงฆ้องกลองสนั่นหวั่นไหว กว่าจะเสร็จก็ถึงค่ำ ตอนกลางคืนจะมาฟังเทศน์ ฟังเบิกในวัด พวกชอบการละเล่นก็ไปชมการละเล่นต่าง ๆ ตามอัธยาศัย

การเวนทาน
รุ่งเช้าอีกวันหนึ่ง เป็นเวนทานถวายสิ่งปลูกสร้างแก่พระสงฆ์ การเวนทานนี้เป็นประเพณีอย่างหนึ่งของล้านนาไทย ไม่ทราบว่าดำเนินการมาตั้งแต่เมื่อไร เพราะทุกวัดจะมีอาจารย์ทำหน้าที่เวนทานประจำ ถือเป็นความจำเป็นที่ต้องมี อาจารย์นี้มีหน้าที่เวนทานสิ่งต่างๆ ที่จะถวายแก่พระสงฆ์ ซึ่งคำที่กล่าวเวนทานเหล่านั้น นักปราชญ์แต่โบราณได้แต่งไว้อาจารย์เหล่านี้ก็จะท่องจำไว้เพื่อกล่าวคำเวนทานในเมื่อถึงคราว

ส่วนการเวนทานปอยหลวงซึ่งนับเป็นงานใหญ่ บางทีอาจารย์วัดนั้นไม่สามารถที่จะกล่าวเวนทานให้ละเอียดได้ก็จะไปเชิญอาจารย์จากที่อื่นมากล่าวเวนทาน อาจารย์ที่ได้เชิญมาเช่นนี้เรียกว่าเป็นอาจารย์พิเศษมีการแต่งการเวนทานให้เหมือนกัณฑ์เทศน์ของพระ ประชาชนให้การเคารพนับถือมาก จะมากล่าวเวนทานสิ่งที่ฉลองนั้นเป็นร่าย พรรณนาคำสอนก่อนเป็นเบื้องแรก กล่าวประวัติวัดมาพอสังเขป แล้วกล่าวถึงสิ่งปลูกสร้างตั้งแต่เริ่มต้นมา จนมีงานฉลองมีความจริงเป็นอย่างไร ก็นำมากล่าวเวนทานหมดเป็นที่พออกพอใจแก่ศรัทธามาก

เมื่ออาจารย์กล่าวคำเวนทานจบแล้ว ก็จะถวายสิ่งของแก่พระสงฆ์ พระสงฆ์อนุโมทนาแล้วกรวดน้ำเป็นเสร็จพิธีตอนเช้าวันนี้ก่อนจะเวนทานหลังจากการตักบาตรแล้ว บางวัดก็เลี้ยงข้าวกันที่วัดโดยลูกหลานที่บ้านนำมาส่ง บางวัดก็จะกลับไปรับประทานที่บ้าน เวลาประมาณ 09.00 น. ถึงจะเริ่มกล่าวเวนทาน

หมายเหตุ ประเพณีปอยหลวงที่เล่ามานี้ เป็นแบบแผนที่ปฏิบัติอยู่ในจังหวัดลำพูน จังหวัดเชียงใหม่ ส่วนจังหวัดอื่น ๆ ในภาคเหนือมีผิดแผกแตกต่างกันไปบ้าง เช่นจังหวัดเชียงรายบางอำเภอ ครัวทานของศรัทธาวัดนั้นแห่เข้าก่อนหมด ต่อจากนั้นจึงเป็นครัวทานของหัววัดต่อมา เขาจะแห่ครัวทานเข้าถึงตอนกลางคืน ทางวัดที่มีงานต้องเลี้ยงข้าวเย็นเช้าค่ำแก่ศรัทธาวัดทั้งหลายที่นำครัวทานเข้าในค่ำวันนั้นจนทั่วถึง

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย