ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม อารยธรรม >>
ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม ที่สำคัญในจังหวัดลำพูน







ประเพณีการทานสลากย้อม
การทานสลากย้อม ภาคเหนือนิยมเรียกว่า การทานก๋วยสลาก สำหรับจังหวัดลำพูน
โดยเฉพาะที่วัดพระธาตุหริภุญชัย ทำเป็นประเพณีทุกปี
(ปัจจุบันการทานสลากย้อมยังมีอยู่บ้าง แต่ไม่เป็นที่นิยม
เนื่องจากสลากย้อมเป็นสลากที่มีขนาดใหญ่และต้องใช้เวลามากในการจัดเตรียมข้าวของและจัดทำสลากดังกล่าวนี้)
คือการทานสลากภัตต์ในวันเพ็ญเดือนสิบ ส่วนวัดอื่นๆจะทานก็ได้ไม่ทานกได้
แล้วแต่การตกลงของชาวบ้าน
ถ้าวัดใดจะทานสลากต้องทานหลังจากวัดพระธาตุหริภุญชัยทานแล้วถือเป็นประเพณีปฏิบัติจนถึงทุกวันนี้
การทานสลากย้อมเป็นทานใหญ่ชนิดหนึ่งที่ต้องใช้เงิน ใช้เวลาในการแต่งดา
โดยเฉพาะในตำบลริมปิง ประตูป่า และตำบลอุโมงค์อำเภอเมืองลำพูน
ในการทานสลากของเขามีการทานสลากย้อมด้วย การทานสลากย้อมนี้
โดยในอดีตเชื่อกันว่าเป็นหน้าที่ของหญิงสาวที่จะพึงทานโดยเฉพาะ ฉะนั้น
เมื่อหญิงสาวคนใดอายุขัยอยู่ในวัยการเป็นสาว มีความสามารถพอที่จะทำงานได้
พ่อแม่ก็จะแนะนำให้ลูกทราบถึงหน้าที่ที่หญิงสาวพึงปฏิบัติเป็นเบื้องแรก
คือการเก็บหอมรอมริบเงินทองที่หามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรง เพื่อรักษาไว้ทานสลากย้อม
โบราณกล่าวว่าหญิงใดยังไม่ได้ทานสลากย้อมหญิงนั้นไม่สมควรจะแต่งงาน
ถ้าหญิงใดทานสลากย้อมแล้วเขาถือว่าแต่งงานเป็นแม่บ้านแม่เรือนที่ดีได้
เพราะประเพณีทำให้เกิดผลดี คือเป็นการหัดให้เด็กรู้จักการเก็บหอมรอมริบ
รู้จักมัธยัสถ์ ซึ่งต้องใช้เวลาในการเก็บเงินเพื่อทำสลากย้อมประมาณ 4-5 ปี
พอจะทำนิสัยมัธยัสถ์เกิดขึ้นได้ เมื่อหญิงสาวมีเงินพอที่จะทานสลากย้อมแล้ว
เขาจะเริ่มซื้อของตระเตรียมไว้ทีละเล็กละน้อยตั้งแต่สร้อยคอท้องคำ เข็มขัดเงิน
และเครื่องเรือนครบทุกชิ้น นอกนั้นเป็นส้มสูกลูกไม้ โดยเฉพาะกล้วยใส่ทั้งเครือ
มะพร้าวใส่ทั้งทะลาย และยังมีขนมนมเนยทุกอย่างใส่อีกด้วย
ต้นสลากย้อมนิยมทำสูงประมาณ 5-6 วา ที่สุดยอดของต้นสลากย้อมนี้
เขามักปักร่มกางกั้นไว้ ตามกลอนและเชิงชายของร่ม จะห้อยย้อยไปด้วยสร้อยคอ
และเข็มขัดตลับเงินและเงินเหรียญประดับประดาอย่างสวยงาม
ลำต้นของสลากย้อมใช้ฟางมัดล้อมรอบเพื่อง่ายแก่การปักไม้สำหรับแขวนผลไม้และสิ่งของต่างๆ
ตามแต่เจ้าภาพจะปรารถนา
การแต่งดาใช้เวลาร่วมเดือน กระดาษสีที่นำมาประดับนับเป็นร้อยแผ่น
ที่จะเรียกว่าย้อมสมบูรณ์นั้น
จะต้องมีประวัติของเจ้าของสลากอ่านให้คนทั้งหลายฟังด้วย
การเขียนประวัติเจ้าของสลากย้อมนี้
จะต้องไปจ้างผู้ที่มีความชำนาญในการแต่งกลอนพื้นเมือง เป็นผู้แต่ง
เขาเรียกว่าครรโลง ผู้แต่งจะบรรยายด้วยลีลากลอนอันไพเราะ
เล่าถึงชีวประวัติของเจ้าของสลากย้อม นับตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน ในบทกลอนคือ
ค่าว หรือ ครรโลง นี้ ผู้แต่งจะสอดแทรกคติธรรม ตลกขบขัน
เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ฟังและเจ้าของสลากย้อม ตามจังหวะที่เหมาะสม
ตอนท้ายเป็นคำแผ่บุญและปรารถนาที่เจ้าของสลากย้อมได้ตั้งไว้ จบลงด้วยครรโลงธรรม
ขณะแต่งดาสลากย้อมในเวลากลางคืนครรโลงนี้จะช่วยกล่อมบรรยากาศในการแต่งดานั้น
ครึกครื้นขึ้น โดยมีผู้มีเสียงอันไพเราะและอ่านเป็นจะมาช่วยกันอ่านให้ฟัง
การอ่านต้องอ่านรวมกันตั้งแต่ 2-3 คนขึ้นไป ถ้าครรโลงใครแต่งดีจะมีคนมาอ่านไม่ขาด
เป็นที่เชิดหน้าชูตาแก่เจ้าของสลากย้อมเป็นอันมาก
ฉะนั้นเขาจึงเลือกจ้างคนที่มีฝีปากดีจริงๆ แม้ค่าจ้างนั้นจะแพงก็ยอม
เมื่อแต่งดาเสร็จถึงวันทานสลากแล้ว
เขาจะช่วยกันหามแห่จากบ้านไปสู่วัดที่งานทานสลากภัตต์ สลากย้อมจะใช้คนหามอย่างน้อย
12 คน เพราะหนักมาก การถวายทานก็เหมือนกับการทานสลากภัตต์โดยทั่วไป
เมื่อสลากย้อมตกแก่พระภิกษุหรือสามเณรรูปใดแล้ว ก่อนประเคนรับพร
พระหรือสามเณรรูปนั้น ต้องหาคนมาอ่านครรโลงของเขาจบก่อน และเขาจึงจะประเคนรับพร
เป็นเสร็จพิธี
การทานสลากย้อมสมัยก่อนจะเป็นที่นิยมมาก
ปัจจุบันมีเพียงบางหมู่บ้านเท่านั้นที่ยังคงหลงเหลือประเพณีดังกล่าวอยู่
เช่นที่ตำบลริมปิง ตำบลต้นธง ตำบลประตูป่า ตำบลหนองช้างคืน ตำบลอุโมงค์
และคติความเชื่อก็ต่างจากสมัยก่อน โดยศรัทธาแต่ละวัดจะช่วยกันจัดทำถวายเท่านั้น
ปัจจุบันนี้เราจะได้พบเห็นเพียงแต่ต้นสลากเท่านั้น