สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
วัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย
โดย รองศาสตราจารย์ ดร.อุไรวรรณ ธนสถิตย์
ระบบการเมืองที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา
การบ่มเพาะวัฒนธรรมการเมืองแบบประชาธิปไตย
ระบบการเมืองที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา
วัฒนธรรมของขวัญ
วัฒนธรรมของขวัญ เป็นผลมาจากขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมของคนในภูมิภาคตะวันออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนไทยที่เป็นคนมีน้ำใจ จากชนบทเข้าเมืองมาบางกอกก็หอบผลไม้พืชผลท้องถิ่นจำนวนมาก มาฝากญาติพี่น้อง ไปเที่ยวหรือไปทำงานในต่างประเทศ ก็จะนำของฝากจากต่างประเทศมากำนัลบิดา มารดา ญาติพี่น้อง ผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ เจ้านาย ลูกหลาน และลูกน้อง ของฝากของกำนัลเป็นสิ่งที่ดีงาม มีความสุขทั้งผู้ให้และผู้รับ เป็นวัฒนธรรมตะวันออกที่ดีงาม
ทุกเทศกาลปีใหม่หรือวันเกิดของบุคคลที่เราเคารพ คนไทยจะมีความกตัญญูกตเวที ระลึกถึงผู้มีพระคุณนำของขวัญไปให้ ต่อมา ได้มีการนำเอาความกตัญญู มาใช้ผิดที่ผิดทาง เอามาใช้กับการเมือง จากของขวัญที่มีมูลค่าพอเหมาะพอสม จึงเริ่มแปรเปลี่ยนกลายเป็นของขวัญมูลค่ามหาศาลและยากแก่การตรวจสอบ เช่น ถ้าให้เช็คเงินสดกับนักการเมืองเป็นของขวัญ จะทำให้มีหลักฐานซึ่ง ป.ป.ช. สามารถตามรอยได้ง่าย หากมอบเงินสดจำนวนมาก ก็จะเอิกเกริกเกินไป นักการเมืองในยุคปัจจุบัน จึงหาทางหลีกเลี่ยงด้วยรูปแบบใหม่ๆ เช่น มอบนาฬิกาโรเล็กซ์ฝังเพชร 4 - 5 เรือน หรือซื้อสมาชิกตลอดชีพของสนามกอล์ฟให้ในราคา 1,800,000 บาท (หนึ่งล้านแปดแสนบาทถ้วน) หรือที่จังหวัดแห่งหนึ่งในภาคตะวันออก คณิน บุญสุวรรณ เล่าว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดคนหนึ่งชอบเล่นไพ่รัมมี่มาก และเล่นในจวนข้าหลวง (บ้านพักผู้ว่าราชการจังหวัด) ตำรวจก็ไม่กล้าจับ พ่อค้าอยากให้ของขวัญที่ถูกใจ จึงนำสมัครพรรคพวกไปเล่นไพ่รัมมี่ที่บ้านผู้ว่าฯ และเล่นให้แพ้ทุกตา แพ้ไปเรื่อยๆ จนทำให้ผู้ว่าฯ ได้เงินครบเป้าที่พ่อค้าวางไว้ เมื่อได้จ่ายเงิน (ทางอ้อม) ไปจนครบแล้วก็เลิกเล่น ซึ่งทำให้ผู้ว่าฯ สนุกและมีความสุขมาก
วัฒนธรรมของขวัญ จึงแปรเปลี่ยนไปเป็นเรื่องผลประโยชน์ที่ให้เพราะคาดหมายผลประโยชน์แลกเปลี่ยนกลับคืนมา กลายเป็นเรื่องไม่ดีไป ให้ของขวัญกันมากๆ จนกลายเป็นจำนวนที่เกินสมควร
จึงเป็นที่มาของแนวความคิดที่ว่า กินตามน้ำ ไม่เป็นไร รับของขวัญไม่เป็นไร พอนานๆ
เข้า ทำกันมากๆ เข้าก็กลายเป็น คอร์รัปชัน ก็ไม่เป็นไรอีกเช่นเดียวกัน
เมื่อพ่อค้าเอาของขวัญราคาแพงมาให้ข้าราชการ หรือนักการเมือง
ก็จะต้องเกิดวัฒนธรรมต่างตอบแทน ดังนั้น จึงไม่แปลกเลยที่คนไทยส่วนหนึ่ง
ซึ่งอาจจะเป็นเสียงข้างมากของผู้มีสิทธิเลือกตั้งด้วยซ้ำเห็นว่า
การรับเงินจากหัวคะแนน 2-3 ร้อยบาท เพื่อแลกกับการเลือก ส.ส.
ไม่ใช่การซื้อสิทธิขายเสียง
แต่เป็นการกระทำแบบต่างตอบแทนซึ่งแพร่ระบาดไปเร็วมากในการเมืองไทยยุคปัจจุบัน
ศาสตราจารย์ ดร. สุจิต บุญบงการ จึงระบุว่า
คอร์รัปชันเริ่มมาจากวัฒนธรรมตะวันออกที่ชอบให้ของขวัญกันมาก
บางครั้ง งบประมาณแผ่นดิน จึงถูกผันไปให้หัวคะแนนในรูปงบการก่อสร้าง และงบการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งคิดเป็นหกสิบส่วนร้อยของงบประมาณแผ่นดิน เป็นการกระชับสายสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์โดยไม่ต้องใช้เงินของตนเอง สมาชิกวุฒิสภามิได้มีความจำเป็นในการสร้างสายสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์กับประชาชนเสมอด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบบแบ่งเขตเลือกตั้ง เพราะสมาชิกวุฒิสภามิอาจดำรงตำแหน่งติดต่อกันสองสมัยได้ (รัฐธรรมนูญ ม.117 วรรค 2) ดังนั้น จึงไม่มีสิ่งจูงใจในการผันงบประมาณแผ่นดิน หรือทรัพยากรอื่นของแผ่นดินลงสู่เขตการเลือกตั้ง
ความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ในสังคมไทย ปัจจุบันค่อนข้างจะเป็นไปตามระบบอุปถัมภ์ไม่ใช่ระบบคุณธรรม ปัญหาอิทธิพลของระบบอุปถัมภ์ต่อผลการเลือกตั้ง (หัวคะแนน) ในสนามกรุงเทพฯ นั้น พรรคสำคัญเหนือตัวบุคคล และปัจจัยจากระบบอุปถัมภ์ไม่มีอิทธิพลต่อการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่สวนทาง หรือกลับตรงกันข้ามกับการเลือกตั้งในสนามภูมิภาค ปัจจุบัน การเมืองไทยจึงไม่มีเสถียรภาพ เป็นเรื่องซื้อไปขายมา อะไรจะเลิกก่อน เลิกขายเสียงก่อน หรือเลิกซื้อเสียงก่อน ถ้าไม่มีผู้ซื้อก็ไม่มีผู้ขาย ถ้าไม่มีผู้ขายก็ไม่มีผู้ซื้อ เหมือนไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน
การเมืองไทยสมัยก่อน บารมีเกิดจากความดี แต่ในปัจจุบัน เชื่อกันว่า ถ้าจะให้ได้เป็นผู้แทนฯ ต้องมีครบ 3 อย่าง คือ เงิน ความดี และอำนาจรัฐ ถ้าต้องการใช้เงิน ก็จะมีคนเอาเงินมาส่งเลย เมื่อใช้เงินหมดก็เป็นหนี้บุญคุณต้องตอบแทนเจ้าของเงินในการเลือกตั้งครั้งต่อๆ ไป การเน้นความสำคัญของระบบความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ทำให้ราษฎรผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่สนใจตรวจสอบคุณภาพของนักการเมือง ระบบความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ในสังคมไทย ที่ทำให้จำเป็นต้องมีทรัพยากรทางการเงินในการสร้างสายสัมพันธ์ และเครือข่ายทางการเมือง ระบบอุปถัมภ์บนพื้นฐานของเงิน หรือผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้กลายเป็นคุณลักษณะสำคัญ (ที่ไม่ถูกต้อง) ของการเมืองไทยไปแล้ว


