สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
วัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย
โดย รองศาสตราจารย์ ดร.อุไรวรรณ ธนสถิตย์
ระบบการเมืองที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา
การบ่มเพาะวัฒนธรรมการเมืองแบบประชาธิปไตย
ระบบการเมืองที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา
ระบบวงศาคณาญาติ
นักวิชาการของไทยหลายท่าน อาทิเช่น รองศาสตราจารย์ ดร.เรืองวิทย์ เกษสุวรรณ เห็นว่า วัฒนธรรมของประเทศกำลังพัฒนาเป็นแบบสมัยเก่า ถูกกำหนดโดยความสัมพันธ์ทางเครือญาติ ซึ่งเป็นคุณสมบัติส่วนตัวที่รวมเอาลักษณะหลายอย่างมาผสมผสานกัน ในทางรัฐศาสตร์หมายความว่า นักการเมืองและข้าราชการมีพันธะต่อญาติ เพื่อน และผู้สนับสนุน ซึ่งขัดกับบทบาทของสังคมสมัยใหม่ เพราะสังคมสมัยใหม่ไม่ยึดตัวบุคคล และพยายามรักษาผลประโยชน์ส่วนรวม ดังนั้นการคอร์รัปชันของประเทศกำลังพัฒนาจึงมาจากความคิดของคนที่มองตัวเองว่ามีพันธะทางสังคมที่ต้องปฏิบัติต่อกัน
ประเทศเพื่อนบ้านของไทย เช่น ประเทศมาเลเซียก็มีลักษณะพิเศษของวัฒนธรรมทางการเมืองของตน คือ มีระบบอุปถัมภ์หรือระบบที่เอื้อประโยชน์ต่อพรรคพวกเดียวกันที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างผู้รับการอุปถัมภ์ กับผู้ให้การอุปถัมภ์ในด้านต่างๆ เช่น จากการที่มีชาติพันธุ์เดียวกัน โดยเฉพาะการที่พรรคองค์การเอกภาพแห่งชาติมลายู หรือ อัมโน (United Malays National Organization- UMNO) ให้การสนับสนุนทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองแก่พวกภูมิบุตร และรวมถึงการที่บรรดาผู้บริหารบริษัทในมาเลเซีย ต่างแสวงหาความสัมพันธ์กับนักการเมืองเพื่อให้เข้าสู่ระบบอุปถัมภ์ต่อไป
แม้ในประเทศเอเชียที่พัฒนาแล้ว เช่น ประเทศญี่ปุ่น ก็ยังมีรูปแบบลักษณะของระบบอุปถัมภ์ที่มีการแลกเปลี่ยนระหว่างคะแนนเสียงเลือกตั้งกับการอุปถัมภ์ค้ำชูต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นในสมัยนายคากุเอ ทานากะ นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น ช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2515 - 2517 นายทานากะพยายามดึงทรัพยากรจากส่วนกลางไปสู่เขตเลือกตั้งของตน ในรูปของโครงการสาธารณูปโภคต่างๆ ซึ่งจะเป็นผลงานที่ปรากฏเป็นรูปธรรมชัดเจน รวมทั้งส่งผลให้เกิดการจ้างงาน ธุรกิจก่อสร้างในท้องถิ่นเติบโตและเกิดการพัฒนาโดยทั่วไป ขณะเดียวกัน ทานากะและพรรคพวกก็จะเข้าซื้อที่ดินที่โครงการพัฒนาไปถึง และได้งานก่อสร้างต่างๆ ไป ประจักษ์พยานของ การเมืองแบบทานากะ ที่ชัดเจนที่สุด คือ การดึงเส้นทางรถไฟด่วน (Shinkansen หรือ Bullet Train) ไปให้ถึงจังหวัดนีกาตะ และให้มีสถานที่จอด ณ เมืองที่เป็นเขตเลือกตั้งของตน (ปกติแล้วขบวนรถไฟด่วนจะจอดเฉพาะสถานีใหญ่เท่านั้น และจอดน้อยสถานี) ทุกวันนี้ผู้ที่นั่งรถไฟขบวนนี้ วิ่งไปถึงสถานีอูราสะ จะพบเห็นความใหญ่โตกว้างขวางของสถานีนีกาตะ ซึ่งเป็นสถานีในชนบทที่มีผู้คนบางตา ซึ่งแน่นอนว่าในระยะแรกของการเปิดใช้งาน รถไฟขบวนที่ผ่านจังหวัดและเมืองนี้ จะประสบภาวะขาดทุนอย่างรุนแรง ผู้ที่ไม่ขาดทุน คือ ทานากะ ซึ่งได้ทั้งคะแนนเสียงและแหล่งรายได้เพิ่มเติม รวมทั้งได้สร้างรูปอนุสาวรีย์ของตนเองบริเวณหน้าสถานีรถไฟด้วย
ทานากะถูกจับกุมในปี พ.ศ. 2519 ในข้อหารับเงินสินบน 500 ล้านเยนจากบริษัทผลิตเครื่องบินล็อคฮีด ซึ่งศาลชั้นต้นได้พิพากษาว่าเขามีความผิดจำคุก 4 ปี และปรับเป็นจำนวนเงิน 500 ล้านเยน ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาในปี พ.ศ. 2530 ยืนตามศาลชั้นต้น ขณะที่ศาลฎีกายังไม่ทันได้พิพากษา จำเลยก็ถึงแก่กรรมไปเสียก่อน ชาวจังหวัดนีกาตะในเขตการเลือกตั้งที่ 3 ยังตอบแทนบุญคุณทานากะ ในคราวเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2536 โดยเทคะแนนเสียงให้แก่บุตรสาวทานากะที่ตัดสินใจลงสมัครเลือกตั้งอย่างกะทันหัน ภายหลังการเลือก ทานากะในสภาพของคนชราที่ร่างกายและสมองพิการบางส่วน นั่งรถจากบ้านพักในโตเกียวมาขอบคุณประชาชนที่สนับสนุนบุตรสาว เขาสามารถเรียกน้ำตาจากผู้ที่ยังมีความผูกพันทางจิตใจอยู่กับตนได้ แม้เป็นการเยือนในขณะที่นั่งอยู่ในรถเพียงไม่กี่นาทีก็ตาม
ศาสตราจารย์ ดร.จิรโชค วีระสัย ได้ให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับ กลุ่มลูกหลาน และ กลุ่มล่อแหลม โดยระบุว่าประเทศที่เป็นประชาธิปไตยค่อนข้างสมบูรณ์ มักมีกลุ่มหรือองค์การต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวพันกับครอบครัวหรือ วงศาคณาญาติเป็นจำนวนมาก ส่วนประเทศที่ยังไม่มีการพัฒนาประชาธิปไตยเต็มที่มักมีระบบสังคมที่ถือกลุ่มวงศาคณาญาติขนาดใหญ่ ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นกลุ่ม ลูกหลาน แทนที่จะเป็นกลุ่ม หลากหลาย ตามทฤษฎีพหุนิยม การมีกลุ่มลูกหลาน (Nepotistic groups) มากย่อมหมายถึง การช่วยเหลืออุปถัมภ์สนับสนุนกันในหมู่เครือญาติและเกี่ยวดองอย่างเต็มที่ เพื่อได้มาซึ่งผลประโยชน์ต่างๆ โดยไม่คำนึงถึงผลเสียที่จะตามมาต่อส่วนรวม
ในสภาวะการเมืองไทยในปัจจุบันจะเห็นได้ว่าหลายตระกูลกำลังแตกหน่อต่อยอด และดึงวงศ์วานว่านเครือมาเล่นการเมือง จนเปรียบเสมือนการเมืองไม่ใช่เป็นการเลือกคนที่ดีที่สุดหรือเหมาะสมที่สุด แต่กลับกลายเป็นเรื่องมรดกตกทอด จึงเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่จะต้องติดตามสังเกตอย่างใกล้ชิดต่อไป
นักปราชญ์ชาวอังกฤษผู้หนึ่ง คือ โธมัส ฮอบส์ (Thosmas Hobbes)
ซึ่งมีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1588 - 1679 ได้เคยกล่าวไว้ว่า
มนุษย์ทุกคนซึ่งก็เหมือนกับผู้ปกครองทุกคน ต่างก็คิดถึงผลประโยชน์ส่วนตัวของตน
ของครอบครัว และของเพื่อนของตน
มนุษย์มีแนวโน้มของธรรมชาติที่จะให้ผลประโยชน์ส่วนตัวมาก่อนผลประโยชน์ส่วนรวม...
ในระบอบประชาธิปไตยผู้ปกครองที่โกงกันหรือมักใหญ่ใฝ่สูงสามารถฉกฉวยผลประโยชน์ต่างๆ
ได้อย่างมากมายมหาศาลจากการทรยศ หรือจากสงครามกลางเมือง
แต่เขาจะได้ประโยชน์น้อยมากจากความสมบูรณ์พูลสุขของสาธารณชน
ระบบความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์นั้นเกิดขึ้นในทุกสังคมซึ่งคนเข้าถึงทรัพยากรอย่างไม่เท่าเทียมกัน
คนจึงใช้ระบบนี้สำหรับแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน
โดยที่ทั้งสองฝ่ายก็ได้ประโยชน์จากการแลกเปลี่ยนนั้น ถ้าคนพึ่งตนเองทางเศรษฐกิจได้
ระบบอุปถัมภ์ก็จะหมดไปรัฐธรรมนูญใหม่ หรือ การปฏิรูปการเมืองรอบ 2
ไม่สามารถทำให้ระบบอุปถัมภ์หมดไปได้
การจะทำให้วัฒนธรรมทางการเมืองเป็นแบบประชาธิปไตยจะต้องปฏิรูปทั้งการเมือง เศรษฐกิจ
สังคมและวัฒนธรรมควบคู่กันไป ต้องมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด
มีการลงโทษทางสังคมให้มากขึ้น
รวมทั้งต้องมีการบ่มเพาะวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยกันอย่างเป็นระบบ
จึงจะช่วยแก้ไขปัญหาได้


