สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
การแบ่งแยกออกเป็นสองฝ่าย
และความขัดแย้งทางการเมืองไทย
หน้า 4 >>
ความพยายามที่จะให้คนหนุ่มสาว ชาวนา
และกรรมกรเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นในสถาบันการเมืองทั้งในระดับชาติ
และระดับท้องถิ่นนั้น นักปฏิรูปหลาย ๆ
คนมีส่วนทำให้ความพยายามดังกล่าวเป็นหมันและไม่อาจบรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่า
รูปแบบและวิธีของนักปฏิรูปที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์เหล่านี้ทำให้คนไทยชั้นชนต่าง ๆ
ที่พอใจการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างช้า ๆ และสันติเกิดตกใจกลัว
ถึงแม้ว่าการชุมนุมประท้วงตามท้องถนนของนักศึกษาจะเป็นไปโดยสันติ
แต่สิ่งเหล่านี้ก็จุดชนวนความไม่พอใจแก่ประชาชนที่ติดรูปแบบความเป็นระเบียบเรียบร้อยมาเป็นเวลาช้านาน
ความสำเร็จของผู้นำนักศึกษาและชาวนาจำนวนหนึ่ง
รวมกับประจักษ์พยานความแตกแยกในมหาเถรสมาคม ทำให้พวกข้าราชการ เจ้าของที่ดิน
และพ่อค้าเชื่อว่าประเทศชาติกำลังอยู่ในสภาพร้าวฉาน
ตลอดจนคิดว่าบรรดานักศึกษาและแนวร่วมกำลังเหยียบย่ำทำลายประเพณีดั้งเดิมประจำชาติซึ่งมีมาช้านาน
บางคนคิดไปจนถึงขั้นที่ว่านักศึกษาบางส่วนเป็นคอมมิวนิสต์จอมกวน
ซึ่งควรจะถูกปราบปรามเพื่อความสงบสุขของประชาชนส่วนรวม
อย่างไรก็ตามเนื่องจากบรรยากาศทางการเมืองในระหว่างปี 2517 และ 2518
ยังไม่พร้อมสำหรับการเคลื่อนไหวในเรื่องนี้
บุคคลเหล่านี้จึงใช้วิธีเดินแต้มอยู่หลังฉาก และคอยจังหวะที่เหมาะสมต่อไป
หลังจากที่ได้หล่อเลี้ยง และใช้ประโยชน์จากความกลัวในหมู่ชาวไทยว่า
ความรวดเร็วและวิธีการเปลี่ยนแปลงของฝ่ายซ้ายนั้นมากเกินไปจนอาจจะถึงขึ้นเป็นปรปักษ์กับความเป็นไทย
กลุ่มชนชั้นผู้นำอนุรักษ์นิยมก็ตอบโต้เกมการเมืองที่ดึงคนเข้ามามีส่วนร่วมด้วยการจัดตั้งองค์การมวลชนต่าง
ๆ ขึ้นมาบ้าง ผู้นำในกลุ่มทหาร ตำรวจ ต่างรู้สึกว่าสิทธิพิเศษต่าง ๆ
ที่ตนเคยมีได้ถูกตัดทอนให้น้อยลงเนื่องจากเหตุการณ์ในเดือนตุลาคม 2516
และเหตุการณ์นี้ยังเป็นเครื่องกีดกั้นการต่อต้านนักศึกษาและผู้แทนชาวนาตลอดจนสหภาพแรงงานต่าง
ๆ โดยตรงด้วย อย่างไรก็ตาม
กลุ่มพลังอนุรักษ์นิยมเหล่านี้ก็ยังมีเงินทุนหนุนหลังเป็นจำนวนมาก
มีเส้นสายทางราชการ และมีอำนาจ ด้วยเหตุนี้เอง ทหารบก ตำรวจ กอ.รมน.ตลอดจนหน่วยต่าง
ๆ ของราชการและกลุ่มพ่อค้าซึ่งเป็นเพียงการรวมตัวอย่างหลวม ๆ
โดยมีผลประโยชน์ร่วมกันเหล่านี้จึงพยายามจัดตั้งและสนับสนุนกลุ่มอนุรักษ์นิยมใหม่ ๆ
ขึ้นมาต่อต้านพวกที่โค่นล้มรัฐบาลในปี 2516
การจัดตั้งในหมู่นักเรียนอาชีวะประสบผลสำเร็จมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ
รวมทั้งกลุ่มข้าราชการตำรวจในระดับต่ำและชาวบ้าน
ทั้งนี้โดยใช้ความริษยาที่คนเหล่านี้มีต่อนักศึกษา ความกลัวลัทธิคอมมิวนิสต์
และการเคารพในสัญลักษณ์ของประเทศอันได้แก่ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
เป็นตัวกระตุ้นและแปรเปลี่ยนให้เป็นแรงต้านรอวันเวลาแก้เผ็ดฝ่ายตรงข้าม
ที่สำคัญในบรรดากลุ่มใหม่เหล่านี้ก็คือ นวพล กระทิงแดง และลูกเสือชาวบ้าน
โดยได้รับความสนับสนุนจากสมาชิกระดับหัวหน้าของกลุ่มชนชั้นนำทางทหาร
และตำรวจที่ต่างก็จ้องใช้อิทธิพลทางการเมืองอย่างที่เคยทำมาแต่ก่อนผ่านช่องทางเหล่านี้ขยายอิทธิพลให้ตนเองอยู่แล้ว
นวพล (แปลตามตัวว่า กำลังทั้งเก้าหมายถึงโครงการเก้าจุดของนวพล)
ตำเนินการขั้นพื้นฐานผ่านทางกลุ่มข้าราชการและพ่อค้าต่างจังหวัด
ขบวนการนวพลเกิดขึ้นในปี 2517
มีจุดมุ่งหมายที่จะปราบปรามฝ่ายซ้ายโดยยึดถือนโยบายต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์และยึดมั่นใน
ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หลังจากที่มองเห็นว่า คนไทยส่วนมากมอง การเมือง และ
พรรคการเมือง ว่าเป็นสถาบันที่มีจุดด่าง
ผู้นำกลุ่มนวพลก็ฉลาดพอที่จะเรียกการรวมตัวของตนเป็น ขบวนการ
มากกว่าเป็นพรรคการเมือง
ผู้สังเกตการณ์หลายคนเชื่อว่าขบวนการนวพลได้รับความช่วยเหลือทางการเงินและวัตถุจากหน่วยงานของกองทัพบก
ตำรวจและกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.
หน่วยงานของรัฐบาลทำกิจกรรมด้านปราบปรามคอมมิวนิสต์) หรืออย่างน้อยที่สุด
ถ้าหากไม่ได้รับจากสถานบันที่เป็นทางการ ก็จากบุคคลระดับผู้นำของสถาบันต่าง ๆ
เหล่านี้ เช่นเดียวกับศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย
ขบวนการนวพลสามารถเข้าถึงประชาชนนอกเขตกรุงเทพมหานครออกไป
แต่เป้าหมายใหญ่ของนวพลอยู่ที่ตัวจังหวัดและอำเภอไม่ใช่ตามหมู่บ้านในชนบท
ผู้นำนวพลใช้การประชุมของคนจำนวนมากเป็นเครื่องมือหาคะแนนเสียงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
โดยใช้วิธีการสนับสนุนลัทธิชาตินิยมควบคู่ไปกับการต่อต้านคอมมิวนิสต์
นอกจากนี้ยังใช้โครงสร้างการจัดองค์กรที่คล้ายคลึงกับคอมมิวนิสต์
ผู้ที่มีแววว่าจะเป็นผู้นำ ได้ถูกเลือกขึ้นมาจากทุกระดับ ตั้งแต่ระดับอำเภอ
จังหวัดมาจนถึงระดับชาติ เพื่อเข้ารับการฝึกอบรมทางการเมือง
หรือการอบรมเพื่อกระตุ้นจูงใจเป็นพิเศษ เมื่อถึงปลายปี 2518
นวพลอ้างว่ามีสมาชิกที่มีบทบาทถึงหนึ่งล้านคน
แม้ว่าตัวเลขนี้อาจจะเกินความจริงไปบ้าง แต่ก็ไม่มีปัญหาเลยว่า
ขบวนการนวพลได้กลายเป็นสถาบันทางการเมืองฝ่ายขวาที่มีอำนาจอย่างยิ่งไปแล้ว


