สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
การแบ่งแยกออกเป็นสองฝ่าย
และความขัดแย้งทางการเมืองไทย
หน้า 9 >>
ในเดือนสิงหาคม 2519 ประภาสพยายามที่จะขอกลับเข้ามาในประเทศไทยใหม่
แต่ถูกนักศึกษาขัดขวางโดยการชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่
ซึ่งได้รับการสนับสนุนพอสมควรจากประชาชนทั่วไป ก่อนเดินทางไปไต้หวัน
ประภาสได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างไม่เป็นทางการ
การขอกลับเข้ามาครั้งนี้จึงเป็นการชิมลาง และได้พบว่าเวลาที่สมควรยังมาไม่ถึง
หนึ่งเดือนต่อมา ถนอมใช้วิธีการอีกอย่างหนึ่ง และสามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้
ก่อนเดินทางมาจากสิงคโปร์
ถนอมบวชเป็นเณรและขอเข้าประเทศไทยมาเพื่ออุทิศอานิสงส์ให้แก่บิดาซึ่งป่วยหนัก
เมื่อมาถึงกรุงเทพฯก็มีรถมารับไปวัดบวรนิเวศทันที
วัดนี้เป็นวัดหลวงซึ่งมีพระผู้ใหญ่เป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไปจำพรรษาอยู่เป็นจำนวนมาก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน และองค์ก่อน ๆ
ต่างก็เคยผนวชในวัดนี้เป็นระยะเวลาสั้น ๆ
พิธีการบวชของถนอมแยกทำโดยเฉพาะและกันไม่ให้บุคคลภายนอกเข้ามาได้เลย
ทั้งนี้เพื่อป้องกันโอกาสที่จะมีคนมาคัดค้านการบวช ซึ่งปกติแล้วการบวชทั่ว ๆ
ไปจะต้องทำอย่างเปิดเผยในที่สาธารณะ
และเปิดโอกาสให้มีผู้คัดค้านการบวชได้ถ้ามีเหตุผลสมควร
ซึ่งในกรณีของถนอมถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้แล้วจะเป็นการเสี่ยงมาก
เพราะมีคนนับเป็นพัน ๆ คนที่ยังคงยืนกรานให้รัฐบาลดำเนินคดีกับถนอม ประภาส และณรงค์
ในฐานะที่เป็นศัตรูของแผ่นดิน
การบวชเป็นพระของถนอม ทำให้นักศึกษาที่ประท้วงหาเสียงสนับสนุนจากประชาชนได้ยาก
กลุ่มยุวสงฆ์ซึ่งไม่พอใจการอาศัยผ้าเหลืองมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองก็ไม่ได้รับความเห็นอกเห็นใจมากนัก
เห็นได้ชัดว่า
พระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ได้ถูกชักนำให้เข้าร่วมสร้างภาพพจน์ของสถาบันทางศาสนาขึ้นใหม่
สองวันหลังพิธีอุปสมบทของพระถนอม นายสมัคร สุนทรเวช
นักการเมืองฝ่ายขวาก็ได้ประกาศอย่างเปิดเผยในการประชุมคณะรัฐมนตรีชุดเสนีย์ครั้งสุดท้ายว่าเป็นพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่จะให้พระถนอมกลับมาอยู่ในประเทศไทย
การจากไปเมื่อสามปีที่แล้วมานั้น ถนอม ประภาส
และณรงค์ได้ถูกขอร้องให้ออกนอกประเทศเพื่อให้สถานการณ์ที่น่ากลัวสงบลง
บัดนี้ในเมื่อนักศึกษาได้ถูกปราบปรามเรียบร้อยแล้วก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่บุคคลทั้งสามจะเดินทางกลับเข้ามาไม่ได้
เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นปรากฏการณ์ซึ่งเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอนับแต่การปฏิวัติรัฐประหารโดยจอมพลสฤษดิ์
ธนะรัชต์ ในปี 2500 นั่นก็คือ การผนวกอำนาจในสายขุนนางกับสายทหารเข้าด้วยกัน
การเรียกร้องของนักศึกษาในปี 2516 เริ่มต้นจากความต้องการในวงแคบ ๆ
แต่เมื่อความกดดันมากขึ้น ข้อเรียกร้องให้ปรับปรุงแก้ไขปัญหาก็หนาแน่นมากขึ้น
แม้จะเป็นเสียงที่ลอดออกมาเพียงน้อยนิด แต่ก็ดังและเห็นได้ชัด
นับวันจึงกลายเป็นสิ่งที่มากเกินไปสำหรับความรู้สึกของคนไทยส่วนใหญ่ มาถึงเวลานี้
สถาบันทหาร พ่อค้าในกรุงเทพฯ
อยู่ในฐานะที่พร้อมแล้วสำหรับการต่อต้านข้อเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเหล่านี้
นักเรียนอาชีวะและประชาชนชั้นกลางจากต่างจังหวัดเพียงรอสัญญาณให้เคลื่อนไหวเท่านั้น
กระทิงแดง นวพล และลูกเสือชาวบ้าน ได้คนที่กลับใจเข้าไปร่วมขบวนการด้วย
คนเหล่านี้กระตือรือร้นที่จะรักษาค่านิยมดั้งเดิมไว้มิให้ข้อเสนอแนะของอีกฝ่ายหนึ่งมาทำให้เปลี่ยนแปลงได้
ซึ่งในขณะเดียวกันก็เป็นการรักษาไว้ซึ่งอภิสิทธิ์และผลประโยชน์ของผู้นำทหารพ่อค้าด้วยเหมือนกัน
ความแตกแยกออกเป็นสองฝ่ายระหว่างกลุ่มอนุรักษ์นิยมและกลุ่มก้าวหน้านั้นยากที่จะประนีประนอมกันได้
ที่เคยต่างกันแค่น้อยกับมากก็กลายเป็นต่างกันคนละประเภท
การปราบปรามฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้ราบคาบเท่านั้นจึงจะเป็นการแก้ปัญหาให้ตกไปได้
ถ้าจำเป็นอาจแก้ด้วยการใช้กำลังและความรุนแรง
แทนที่จะเป็นการยอมรับทั้งสองฝ่ายเข้ามาด้วยจิตใจประชาธิปไตย
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อ 6 ตุลาคม 2519 อันเป็นการจบองก์หนึ่งของละครการเมืองไทย
และก็เป็นการเตรียมเวทีไว้แล้วสำหรับองก์ต่อไป
ที่มา : หนังสือ เหตุการณ์ 6 ตุลา ในทัศนะนักวิชาการอเมริกัน
หน้า 1 36 โดย เดวิด และซูซาน มอแรลล์ แปลโดย เอกรงค์ รังคประทีป ตีพิมพ์ซ้ำใน
วัฒนชัย วินิจจะกูล (บ.ก.), สมุดภาพเดือนตุลา (พิมพ์ครั้งที่ 5), กรุงเทพฯ : ทางไท,
2535, หน้า 127-136
<< ย้อนกลับ ||


