สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
การแบ่งแยกออกเป็นสองฝ่าย
และความขัดแย้งทางการเมืองไทย
หน้า 8 >>
สำหรับชนชั้นกลางและอื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมาก การออกนอกประเทศของถนอม ประภาส ณรงค์
ในปี 2516 นับว่าเป็นเรื่องดี
แต่ความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคมที่ติดตามมาได้ก่อให้เกิดความแตกแยกเกินกว่าที่คาดหมายไว้มาก
จู่ ๆ
นอกจากจะมีการอนุญาตให้ชุมนุมประท้วงได้แล้วการชุมนุมทางการเมืองเหล่านี้ยังได้แผ่ขยายไปทั่ว
ดูเหมือนว่าไม่เว้นแต่ละวันจะต้องมีการประชุมประท้วงใหม่เกิดขึ้นในเรื่องที่คนส่วนมากเห็นว่าไม่มีเหตุผลเพียงพอ
นอกจากนี้ยังมีการนัดหยุดงานเกิดขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจำเดิมไม่เคยมีแม้แต่สหภาพแรงงาน
รถเมล์สไตรค์ โรงแรมสไตรค์ คนงานก่อสร้างสไตรค์ ฯลฯ เมื่อเปรียบเทียบกับ 50
ปีมาแล้วกรุงเทพฯ ขณะนั้นอยู่ในสภาพที่ยุ่งเหยิงมาก
การเมืองระบอบประชาธิปไตยกลายเป็นเรื่องเสนียดหู
และความอ่อนประสบการณ์ตลอดจนการแตกแยกในกลุ่มปฏิรูปเอง
ไม่ได้ทำให้สถานการณ์สงบลงเลย
ไม่น่าประหลาดใจเลยที่ประชาชนเริ่มจะจริงจังกับการกลับมาของผู้นำทางทหาร
พร้อมกับคิดว่าประเทศที่เต็มไปด้วยปัญหาเช่นนี้ย่อมไม่อยู่ในฐานะที่จะมีสิ่งฟุ่มเฟือยที่เรียกกันว่าประชาธิปไตยได้
เป็นการง่ายที่จะชี้ตัวบุคคลที่สนับสนุนการปฏิรูปทางเศรษฐกิจและสังคมซึ่งได้ตกเป็นเป้าหมายของการกระทำรุนแรงต่าง
ๆ มากกว่าที่จะหาตัวคนฝ่ายขวาที่เป็นฝ่ายลงมือลอบปาระเบิดและลอบสังหารตัวจริง
นักปฏิรูปถูกกล่าวหาจากคนจำนวนมากว่าเป็นตัวการสำคัญในการก่อให้เกิดความไม่มั่นคงของสังคม
มีการกล่าวกันว่าถ้าหากฝ่ายปฏิรูปจะก่อกวนให้น้อยลงกว่านี้ เหตุการณ์รุนแรงต่าง ๆ
ก็อาจจะไม่เกิดขึ้น
สภาพทางการเมืองซึ่งเป็นที่ต้องการในเวลานี้คือการกลับคืนมาของอาญาสิทธิราชย์รวมกับอำนาจของคณะทหารที่จะทำให้เกิดสันติสุขในประเทศและทำให้ชีวิตดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ และ ม.ร.ว.เสนีย์
มีความจริงใจที่จะปลูกฝังความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมตามกระบวนการนิติบัญญัติ
แม้จะไม่ได้ทำอย่างต่อเนื่องก็ตาม
ทั้งสองรัฐบาลพยายามที่จะยอมรับฝ่ายซ้ายเข้ามาโดยไม่ต้องกันเอาฝ่ายขวาออกไป
มีการริเริ่มปฏิรูปที่ดินบ้าง การปราบปรามคอรัปชั่นก็มีพอเป็นน้ำยา
และสหภาพแรงงานต่าง ๆ ก็ได้รับการยอมรับ
ได้มีการพยายามอย่างยิ่งในเรื่องเงินผันเพื่อที่จะนำไปใช้จ่ายในที่ต่าง ๆ
โดยผ่านตัวแทนที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามา ผู้รับเลือกตั้งเหล่านี้มาจากแต่ละหมู่บ้าน
และเป็นผู้จัดการเงินผันโดยตรง
แทนที่จะจัดการโดยข้าราชการจากกระทรวงทบวงกรมจากส่วนกลาง
ด้านนโยบายต่างประเทศก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ถึงกับเดินทางไปเยือนประเทศจีนในปี 2518 และในครึ่งปีแรกของปี 2519
นโยบายด้านต่างประเทศได้เบนไปสู่การเจรจาอย่างเปิดเผยกับเวียดนาม กัมพูชา และลาว
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์และคณะที่ปรึกษาหวังที่จะรักษาความมั่นคงของประเทศไทยให้ดีที่สุดด้วยวิธีนี้
นโยบายทางการทูตนี้จะทำให้ความช่วยเหลือจากภายนอกที่ต่อต้านรัฐบาลภายในประเทศลดน้อยลงด้วย
เป็นที่คาดกันว่าเสียงของประเทศบนผืนแผ่นดินใหญ่ในองค์การอาเซียน
อันได้แก่ประเทศไทย มาเลเซียและสิงคโปร์ จะแข็งขึ้น
และถ้าหากรวมเอาอินโดจีนสามประเทศเข้ามา
ก็จะเป็นการถ่วงดุลอิทธิพลของประเทศที่เป็นเกาะซึ่งได้แก่อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ได้
ยิ่งไปกว่านี้กำลังทางทหารของสหรัฐอเมริกาทั้งหมดยกเว้นที่ปรึกษาทางทหาร 270 คน
ได้รับคำสั่งให้ออกไปจากประเทศไทยในช่วงสุดท้ายของรัฐบาลคึกฤทธิ์
ไม่น่าประหลาดใจเลยที่คณะทหารจะรู้สึกไม่พอใจต่อแนวโน้มของนโยบายต่างประเทศเช่นนี้
ความพยายามที่จะปฏิรูปซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการมองอนาคตที่แตกต่างไปมากจากการปกครองโดยคณะทหารถูกสกัดกั้นโดยความขัดแย้งทางอุดมการณ์
เพราะเหตุว่าคณะรัฐมนตรีที่มาจากพรรคต่าง ๆ ถูกบีบโดยรัฐสภา
การปฏิรูปจึงช้าและแคบเกินกว่าที่จะสร้างความพอใจให้เกิดขึ้นในหมู่นักศึกษา กรรมกร
ผู้นำชาวนาชาวไร่ ตลอดจนกลุ่มก้าวหน้าอื่น ๆ
พวกนี้จึงหันไปใช้วิธีเดินขบวนประท้วงหรือจัดการชุมนุมตามหมู่บ้าน
เพื่อบีบบังคับรัฐบาล
ในขณะเดียวกันการปฏิรูปทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นภายในประเทศหรือที่มีต่างประเทศมาเกี่ยวข้องด้วย
ก็จะถูกเพ่งเล็งด้วยความหวาดระแวงและโกรธแค้นจากกลุ่มผลประโยชน์ที่มีอำนาจและอภิสิทธิ์ต่าง
ๆ ตามโครงสร้างเดิม พวกนี้สนับสนุนด้วยการให้ทั้งเวลา แรงงาน และทรัพย์สินแก่นวพล
กระทิงแดง ลูกเสือชาวบ้าน และท้ายที่สุดให้แก่การแทรกแซงด้วยอาวุธอย่างทารุณโหดร้าย
ซึ่งทำให้ทหารกลับมาสู่อำนาจอีกครั้งหนึ่ง
การมรณกรรมอย่างปัจจุบันทันด่วนในเดือนเมษายน 2519 ของพลเอกกฤษณ์ สีวะรา
ซึ่งเป็นผู้ผนึกกองทัพบกเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
และมีบทบาทพอสมควรในด้านกิจกรรมพลเรือน ยิ่งทำให้วิกฤติการณ์มาถึงเร็วขึ้น


