สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
การแบ่งแยกออกเป็นสองฝ่าย
และความขัดแย้งทางการเมืองไทย
หน้า 7 >>
พรรคประชาธิปัตย์ของ ม.ร.ว.เสนีย์ และพรรคการเมืองฝ่ายขวาอื่น ๆ
มีชัยชนะในการเลือกตั้งในขณะที่พรรคฝ่ายซ้ายประสบกับความพ่ายแพ้อย่างหมดรูป
ที่นั่งของพรรคสังคมนิยม 2 พรรค และพรรคพลังใหม่ลดลงจาก 37 ที่นั่งเหลือ เพียง 6
ที่นั่ง หรือจากร้อยละ 15 มาเป็นร้อยละ 2 ของจำนวนที่นั่งทั้งหมดในสภา
ดังนั้นทางเลือกที่จะปฏิรูปขั้นมูลฐานที่พอจะมองเห็นอยู่และได้รับการผลักดันในช่วงหลาย
ๆ เดือนต่อมาหลังเดือนตุลาคม 2518 ก็ถูกตัดทิ้งไปได้
โดยพิจารณาจากผลของการเลือกตั้งอย่างเปิดเผยครั้งนี้เอง แม้แต่ในปี 2512
ซึ่งมีการปกครองโดยคณะทหาร พรรคสังคมนิยมก็ยังได้ที่นั่งในสภามากกว่าในปี 2519
กลุ่มปฏิรูปอื่น ๆ ต่างก็ยิ่งแตกกระจัดกระจายกันออกไปยิ่งขึ้น
กล่าวคือมีกำลังความเข้มแข็งลดน้อยลง
แต่มีความเชื่อมั่นยิ่งขึ้นว่าอาจจะต้องไปใช้ความเพียรต่อสู้กันนอกสภา
มาถึงขณะนี้ฝ่ายขวาพร้อมแล้วที่จะตอบโต้การริเริ่มของฝ่ายซ้ายและความรุนแรงก็เริ่มเพิ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
แม้แต่นายกรัฐมนตรีคึกฤทธิ์เองก็ประหลาดใจมากที่พ่ายแพ้ในการสมัครเข้ารับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรในเขตที่ทหารมีอิทธิพลอย่างมาก
การกลับคืนมาของความเป็นอนุรักษ์นิยมหลังจาก 3
ปีแห่งความไม่สงบเรียบร้อยไม่ใช่เรื่องแปลก แต่การที่
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ได้ให้มีการเลือกตั้งทั่วไปขึ้น
โดยหวังว่าจะเพิ่มที่นั่งของพรรคตนในสภาให้มากขึ้น
ในเมื่อรัฐธรรมนูญในขณะนั้นกำหนดไว้ว่านายกรัฐมนตรีและอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของคณะรัฐมนตรีจะต้องมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาในสภา
ความพ่ายแพ้ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ก็คือการสิ้นสุดของตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
และคราวนี้ก็มาถึงรอบของ ม.ร.ว.เสนีย์อีกครั้งหนึ่ง แต่ทว่าการพ้นจากตำแหน่งของ
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์และการกลับมาของ
ม.ร.ว.เสนีย์กลับยิ่งทำให้ระบบรัฐสภาดำรงอยู่รอดต่อไปยากยิ่งขึ้น เพราะ
ม.ร.ว.เสนีย์ มีความสามารถน้อยกว่า
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ในการเผชิญสถานการณ์ทางการเมืองที่ยุ่งเหยิงซึ่งได้เกิดขึ้นในเวลาต่อมา
ในขณะที่กลุ่มพลังต่าง ๆ
ซึ่งพยายามรักษาสภาพที่เป็นอยู่เดิมไว้ให้ได้ต่างก็กระหน่ำโจมตีกลุ่มที่ต้องการความเปลี่ยนแปลงที่อ่อนแอลงทุกที
ประชาชนส่วนใหญ่ก็ปรารถนาจะได้เสถียรภาพและความมั่นคงของยุคที่แล้วกลับคืนมาเมื่อพิจารณาถึงความรุนแรงอย่างถึงขีดสุดซึ่งเกิดขึ้นทุกหนทุกแห่งในระยะหลาย
ๆ เดือนที่ผ่านมาแล้ว ในเดือนเมษายน 2519
คนไทยจำนวนมากก็เริ่มถามตัวเองด้วยคำถามเก่า ๆ ว่า
สถาบันการเมืองแบบมีผู้แทนราษฎรนี้จะรับใช้ประเทศชาติภายใต้ความกดดันต่าง ๆ
เหล่านี้จริงหรือ และ เมื่อไหร่ทหารจะเข้ามาแทรกแซงเสียที
เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ในประเทศซึ่งถูกแบ่งแยกออกด้วยค่านิยมที่ขัดแย้งกัน
ผู้ที่มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งซึ่งปกติก็มีความเชื่อถือหรือมีความสนใจการเมืองน้อยอยู่แล้ว
พบว่าตนเองจะต้องเลือกระหว่างทางเลือกที่ไม่เป็นที่พอใจทั้งสองทาง
ข้างหนึ่งก็คือกลุ่มซ้ายสุดซึ่งประกอบไปด้วยนักศึกษาที่คะแนนนิยมกำลังตก
ปัญญาชนและผู้นำกรรมกร
อีกข้างหนึ่งก็คือกลุ่มอนุรักษ์นิยมสุดขีดและกลุ่มขวาสุดซึ่งในบางส่วนก็คือสมาชิกของกลุ่มอำนาจเก่าและบางส่วนก็คือนักเรียนอาชีวะกับพวกที่ไม่ใช่ทหารโดยตรงแต่ทำกิจกรรมของพวกทหาร
ทั้งสองฝ่ายต่างมีหนังสือพิมพ์รายวันและนิตยสารหนุนหลัง
เฉพาะกลุ่มขวายังมีสถานีวิทยุหลายแห่งทั้งที่ควบคุมโดยเอกชนและราชการให้การสนับสนุนอยู่ด้วย
ในขณะที่ประชาชนยังไม่อาจลืมการปกครองที่เลวร้ายของทหารชุดก่อน ๆ
กลุ่มปฏิรูปก็ได้เสียความไว้วางใจอันควรจะได้จากประชาชนไปแล้วเช่นกัน
องค์การของนักศึกษาได้แตกแยกออกเป็นหลาย ๆ กลุ่มที่ขัดแย้งกันเอง
วิธีการทางการเมืองของนักศึกษาก็เป็นที่ขัดเคืองของประชาชนคนเดินถนนทั่ว ๆ ไป
ซ้ำยังเป็นที่เชื่อกันแพร่หลายว่าการรณรงค์เพื่อปฏิรูปสังคมของนักศึกษานั้นได้ถูกทำลายลงโดยบุคคลภายนอกที่มีจุดหมายอย่างอื่นของตนอยู่แล้ว
กลุ่มปฏิรูปต้องการความเปลี่ยนแปลงและเป็นการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดอย่างรวดเร็ว
อันได้แก่ความเปลี่ยนแปลงในสถาบันทางการเมือง รูปแบบวิธีการเก็บภาษี
ในเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดิน นโยบายด้านต่างประเทศ
และในสัมพันธภาพของข้าราชการกับชาวบ้าน
ฝ่ายตรงกันข้ามคือฝ่ายขวาเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สังคมไทยรับไม่ได้
การปกครองแบบพ่อกับลูกในไทยเป็นมรดกสืบทอดกันมาช้านานและมีวัฒนธรรมทางการเมืองที่ยอมรับโดยดุษณีภาพ
ซึ่งกษัตริย์เป็นเจ้าชีวิตและข้าราชการจากเบื้องบนคือเจ้านาย
สิ่งที่ฝ่ายต้องการปฏิรูปต้องการทำก็คือให้มีการเปลี่ยนแปลงกติกาการเล่นอย่างฉับพลันทันที
โดยเปิดระบบการเมืองให้ตามความต้องการจากเบื้องล่าง
สิ่งเหล่านี้จึงเป็นการท้าทายต่อพื้นฐานของสิทธิอันชอบธรรม
กลุ่มปฏิรูปกำลังยื่นข้อเสนอแม้จะไม่ได้แสดงอย่างชัดแจ้งให้นำความชอบธรรมที่มีพื้นฐานอยู่บนการแสดงออกซึ่งเจตจำนงของประชาชนเข้ามาแทนที่
(หรืออย่างน้อยที่สุดก็เข้ามาเป็นส่วนเพิ่มเติม)
ความชอบธรรมตามประเพณีดั้งเดิมที่มีรากฐานมาจากการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เป็นเรื่องน่ากลัวและคุกคามคนไทยในทุกระดับสังคม
ยกเว้นพวกที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองทางการเมืองสูงเท่านั้น การกระทำใด ๆ
ที่นำไปสู่จุดหมายปลายทางเช่นนี้ย่อมจะได้ชื่อว่าเป็น คอมมิวนิสต์ โดยง่าย คำว่า
คอมมิวนิสต์ ซึ่งได้กลายมาเป็นรหัสเรียกใช้อะไรก็ตามที่ไม่เป็นแบบไทย ๆ
ตามแบบแผนที่มีมาแต่ดังเดิม เป็นการง่ายมากที่จะปลุกความรู้สึกรุนแรงทางอารมณ์ (
อย่างที่เกิดขึ้นในยุคแมคคาร์ธีในสหรัฐอเมริกา)
ให้เกิดขึ้นในหมู่คนไทยชั้นกลางในช่วงกลางของทศวรรษที่ 2513 2523
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่ลัทธิคอมมิวนิสต์กำลังผนึกกำลังกันแข็งแกร่งยิ่งขึ้นในกลุ่มประเทศอินโดจีน
นอกจากนี้ผู้ลี้ภัยจากลาวและเขมรที่หลั่งไหลเข้ามาในประเทศไทยเมื่อกลางปี 2519
ยังมาเล่าเรื่องราวอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งให้คนไทยฟังอีกว่าชัยชนะของคอมมิวนิสต์จะหมายความว่าอย่างไรสำหรับประเทศไทย


