สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
การแบ่งแยกออกเป็นสองฝ่าย
และความขัดแย้งทางการเมืองไทย
หน้า 6 >>
ปลายปี 2518 ความรุนแรงค่อยเบาบางลงบ้าง กลุ่มต่าง ๆ
เข้าไปต่อสู้กันในสภาเป็นการชั่วคราว
โดยต่างฝ่ายต่างใช้วิธีตั้งข้อเรียกร้องที่สวนทางกันเอากับนายกรัฐมนตรี
เมื่อมาถึงเดือนมกราคม 2519 รัฐบาลผสมสั่นคลอนเกือบจะบริหารงานต่อไปไม่ได้
เมื่อเห็นว่ากำลังเสี่ยงกับการถูกลงมติไม่ไว้วางใจ
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ก็ประกาศยุบสภาและให้เลือกตั้งทั่วไปใหม่ในเดือนเมษายนต่อมา
การเลือกตั้งครั้งนั้นรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย
บางครั้งอยู่ในขั้นใกล้เคียงกับความรุนแรงอย่างสุดขีดในฟิลิปปินส์ก่อนมีการใช้กฎอัยการศึก
ในช่วงระยะเวลา 3 เดือนของการหาเสียง มีการฆ่ากันตายถึงกว่า 30 ราย
มีคนบาดเจ็บเป็นจำนวนมากและบ่อยครั้งที่การปราศรัยหาเสียงถูกขัดจังหวะโดยลูกระเบิด
พรรคการเมืองฝ่ายซ้ายถูกโจมตีมากที่สุดหัวคะแนนของพรรคฝ่ายก้าวหน้าถูกลอบฆ่าตายในเขตนอกเมือง
และที่ทำการของพรรคพลังใหม่ซึ่งเป็นพรรคที่ต้องการปฏิรูปถูกวางระเบิด
ผู้ลอบโจมตีเหล่านี้ถูกศาลสั่งปล่อยตัว ความหวาดกลัวก็ยิ่งแผ่กว้าง
แต่ทว่าประชาชนต่างก็กล่าวโทษกลุ่มฝ่ายซ้ายว่าเป็นสาเหตุให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นแทนที่จะว่ากลุ่มขวาซึ่งเป็นฝ่ายกระทำการรุนแรงที่แท้จริง
เหตุการณ์รุนแรงที่สะเทือนขวัญคนมากที่สุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2519
เมื่อคนร้ายลอบสังหาร ดร.บุญสนอง บุณโยทยาน เลขาธิการพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย
ดร.บุญสนอง อายุประมาณ 30 เศษ เป็นนักสังคมวิทยาชั้นนำคนหนึ่งของประเทศ
หลังจากที่รัฐบาลถนอมได้ถูกโค่นล้มในปี 2516
ดร.บุญสนองได้ลาออกจากตำแหน่งที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กระโจนสู่เวทีการเมืองเขาเป็นที่นิยมชมชอบในหมู่นักศึกษา
และมีส่วนในการบรรเทาข้อเรียกร้องนักศึกษาที่จะให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างฉับพลันทันทีลดความรุนแรงลง
ปฏิกิริยาของนักศึกษาต่อการฆาตกรรม ดร.บุญสนอง
เงียบงันในระยะแรกและติดตามมาด้วยความโกรธแค้นอย่างรุนแรงต่อมา
นักศึกษาเปรียบเทียบการลอบฆ่า
ดร.บุญสนองว่าคล้ายคลึงกับกรณีของประธานาธิบดีอัลเยนเด้ในชิลี
บุคคลทั้งสองต่างก็มีบทบาทในการกระตุ้นให้มีการเปลี่ยนแปลงตามครรลองของระบบประชาธิปไตย
แต่ทั้งสองกลับต้องมาสิ้นชีวิตอย่างน่าอัปยศด้วยฝีมือของฝ่ายขวา
การชุมนุมประท้วงของนักศึกษาหลังจากสิ้นชีวิตของ
ดร.บุญสนองยิ่งเป็นการกันประชาชนส่วนใหญ่ออกไปยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนในกรุงเทพฯ
ซึ่งคนส่วนใหญ่ต่างก็ตกใจและท้อใจกับความทารุณโหดร้ายในวงการเมืองซึ่งทวีขึ้นทุกทีอยู่แล้ว
เมื่อมาถึงครั้งนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงมีผลไปในทางตรงกันข้ามกับเหตุการณ์ปี
2516 ซึ่งได้นำไปสู่การการสิ้นสุดของเผด็จการ
ในครั้งนี้พฤติกรรมของนักศึกษาไม่ก่อให้เกิดความเห็นอกเห็นใจต่อทั้งดร.บุญสนอง
และต่อการกระทำของนักศึกษาเอง
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ครั้งนี้ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนแปลงที่สำคัญยิ่งของการเมืองไทย
นักศึกษาและปัญญาชนจำนวนหนึ่งเลิกมีบทบาททางการเมืองและหายหน้าไป
ในขณะที่อีกจำนวนหนึ่งยืนหยัดยอมแบกรับในการเปลี่ยนแปลงสังคมเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
และบางส่วนได้ขึ้นไปอยู่บนภูเขาร่วมกับพวกต่อต้านรัฐบาล
โดยมีความเชื่อมั่นว่าไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้วนอกจากหาทางปฏิวัตินอกสนามเลือกตั้งของพวกชนชั้นนายทุนเจ้าที่ดิน
จากจุดนี้เอง การนัดหยุดงานและการชุมนุมประท้วงได้ลดลงจนเห็นได้ชัด
ผลการเลือกตั้งในวันที่ 4 เมษายน 2519 ก่อให้เกิดความประหลาดใจหลาย ๆ อย่าง
แต่ก็ยืนยันกำลังที่เพิ่มขึ้นทุกทีของฝ่ายขวา
ผู้ที่มีสิทธิลงคะแนนเลือกตั้งแสดงความเป็นอนุรักษ์นิยมตามประเพณีดั้งเดิมและความพอใจในความปลอดภัยและความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากกว่าสิ่งซึ่งดูเหมือนความเปลี่ยนแปลงที่ควบคุมไม่อยู่
ความเปลี่ยนแปลงซึ่งไม่ใช่เฉพาะแต่ในสถาบันทางการเมืองของชาติเท่านั้นแต่รวมไปถึงลักษณะความเชื่อถือและค่านิยมต่าง
ๆ ประจำชาติด้วย


