ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
ชีวิตเพื่อสันติสุขและสันติภาพ
พระทศพล เขมาภิรโต
2. พุทธวิธีแก้ปัญหามนุษย์ สังคม และธรรมชาติ
การแก้ปัญหาจะต้องดำเนินการเป็นระบบ และเป็นกระบวนการ และเป็นการแก้ปัญหาแบบที่สมัยใหม่เขาเรียกกันว่า บูรณาการ (Integrated) และเป็นองค์รวม (holistic) โดยมีองค์ประกอบที่ประสานครบถ้วนและสัมพันธ์กันครบถ้วนถูกต้องพอดีตลอดทั้งองค์รวม จึงจะทำให้เกิดภาวะสมดุล หรือดุลยภาพได้
(พระธรรมปิฎก ป.อ. ปยุตฺโต 2536 :186-207)
วิธีแก้ปัญหาในขั้นต่อไปก็คือการกำหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนาคน ด้วยการปรับเปลี่ยนทัศนคติหรือท่าทีต่อธรรมชาติ พฤติกรรมทางเศรษฐกิจ และการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในทางสร้างสรรค์ ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
2.1 ท่าทีต่อธรรมชาติ
เมื่อใดที่มนุษย์มีความเข้าใจ มีท่าทีต่อธรรมชาติถูกต้องไปในทางที่ดีแล้ว ก็จะพลิกผันพฤติกรรมให้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยหลักการสำคัญทัศนะของพระพุทธศาสนามองธรรมชาติใน 3 ลักษณะ คือ
1) มองธรรมชาติว่า เป็นที่รื่นรมย์ทำให้มนุษย์มีความสุขกับธรรมชาติ
2) มองเห็นพืชพันธุ์ มนุษย์ และสัตว์ทั้งหลายในธรรมชาติเป็นเพื่อนร่วมกฎธรรมอันเดียวกันกับตน ดังนั้นจะต้องมีเมตตา มีไมตรีต่อกัน
3) พุทธศาสนามองธรรมชาติว่า เป็นสภาพที่มีคุณค่าเกื้อกูลต่อการพัฒนาตนของมนุษย์ด้วยกัน
การมองเห็นธรรมชาติและสรรพสิ่งทั้งหลายว่าเป็นเพื่อนร่วมกฎธรรมชาติอันเดียวกัน ทำให้จิตใจของมนุษย์เป็นจิตใจที่ขยายปริมณฑลกว้างออก และเป็นจิตใจที่เปี่ยมด้วยเมตตา เป็นจิตใจที่ถึงพร้อมด้วยความรักอันไม่มีขอบเขต และพร้อมที่จะทำสิ่งที่ดีงามเพื่อมนุษยชาติ
2.2 พฤติกรรมทางเศรษฐกิจ
เมื่อมนุษย์มีท่าทีที่ถูกต้องต่อธรรมชาติแล้ว ขั้นต่อไปจะต้องมีท่าทีที่ถูกต้องต่อพฤติกรรมทางเศรษฐกิจ หลักของพระพุทธศาสนาที่เป็นจุดเริ่มต้นข้อนี้คือ การรู้จักความพอดีในการบริโภค หรือที่เรียกกันว่า
มัตตัญญุตา โดยมีจุดเริ่มต้นอยู่ที่มนุษย์จะต้องรู้จักประมาณก่อน
วิธีการประมาณก็คือ การฝึกใช่ปัญญา รู้จักแยกแยะระหว่างคุณค่าแท้กับคุณค่าเทียม เพราะมนุษย์เราสัมผัสกับสิ่งแวดล้อม เช่น วัตถุ สิ่งของ บุคคล สถานที่ เกิดความต้องการต่าง ๆ ขึ้น เนื่องจากมนุษย์มีความต้องการหลากหลาย และมีความกว้างไร้ขอบเขต ถ้ารู้จักใช้ปัญญามาแยกแยะระหว่างคุณค่าแท้คุณค่าเทียม ทำให้ลดความต้องการลงจนถึงจุดที่พอดีจริง ๆ ผลที่เกิดขึ้นก็คือ คนจะมัธยัสถ์ ตัดความฟุ้งเฟ้อ ลดการเบียดเบียนกันในสังคมและเอื้อประโยชน์ต่อสภาพแวดล้อมไปตัวด้วย
2.3 การใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในทางสร้างสรรค์
การรู้จักพอดีในการบริโภค มีความหมายรวมไปถึง การสร้างสรรค์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปในแนวทางใหม่ เพื่อสนองท่าทีต่อธรรมชาติและพฤติกรรมทางเศรษฐกิจอย่างที่กล่าวมาแล้ว
สิปปนนท์ เกตุทัต (2537:46-47) ได้กล่าวถึงทิศทางพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทยในสิบปีข้างหน้า โดยมีทัศนะเกี่ยวกับการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนว่า
มนุษย์ประมวลนำความรู้จากธรรมชาติ มาปรับปรุงวิถีชีวิตของตนให้สะดวกสบายขึ้น ความรู้นี้คือวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นความรู้สากล มนุษย์ได้นำความรู้สาขานี้และความรู้ในสาขาอื่น เช่นเศรษฐศาสตร์การเงินมาประยุกต์ใช้เพื่อสนองความต้องการของมนุษย์ ที่เรียกว่า เทคโนโลยี ในอีกด้านหนึ่งมนุษย์ก็ต้องพยายามศึกษาจิตใจของมนุษย์เอง เพื่อมุ่งลดความทุกข์ แสวงหาความสุขและวิถีชีวิตที่สงบ ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ โดยลดการเบียดเบียนกัน ความรู้นี้ก็คือศาสนธรรม
เพื่อให้การแก้ปัญหามนุษย์ สังคม และสภาพแวดล้อมบังเกิดผลอย่างสมบูรณ์ บุคคลจำเป็นจะต้องพิจารณาลดพฤติกรรมที่เป็นอุปนิสัย หรือความเคยชินที่เป็นพิษเป็นภัยต่อการพัฒนาตนและเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ได้แก่ การทำอะไรตามสบาย พฤติกรรมเห็นแก่ความสนุกเป็นที่ตั้งซึ่งเป็นพฤติกรรมระดับบุคคล และพฤติกรรมระดับสังคมวัฒนธรรม เช่นพฤติกรรมหน้าใหญ่ใจโต พฤติกรรมหลงใหล รวมทั้งพฤติกรรมการแก้ปัญหาด้วยความเห็นแก่ตัวแต่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการแก้ปัญหาเป็นเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมแทน ถ้าสามารถทำได้อย่างนี้ ก็เท่ากับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญสำหรับการสร้างสันติสุขส่วนบุคคล และสร้างสันติภาพของสังคมไปพร้อม ๆ กัน
ความสุขตามทัศนะของนักจิตวิทยากลุ่มมนุษยนิยมใหม่
สังคมยุคโลกาภิวัตน์หรือสังคมยุคข้อมูลข่าวสาร เป็นสังคมที่มีปัญหาซึ่งท้าทายความสามารถของมนุษย์อยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งจะต้องมีการนำเสนอวิธีการแก้ปัญหาหรือทางออกในเชิงปฏิบัติที่เห็นผลด้วยความถูกต้องและชัดเจน ปัญหาต่าง ๆ ที่กำลังท้าทายสติปัญญาของมนุษย์ได้แก่
ปัญหาเรื่องมลพิษในอากาศ การเอารัดเอาเปรียบด้านสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน
ความยากไร้ และชะตากรรมอันลำบากของคนยากจน
การบริโภคจนเกินขอบเขตพร้อมกับความตกต่ำทางจิตวิญญาณของคนร่ำรวย
ปัญหาเรื่องชนกลุ่มน้อย เรื่องสิทธิเสรีภาพสตรี
ปัญหาที่เกิดจากภัยของสงครามนิวเคลียร์
ปัญหาที่เกิดจากความโลภและเทคโนโลยี
ปัญหาเนื่องจากปริมาณข่าวสารเข้ามามากเกินไป และเป็นพิษ ฯ
การที่มนุษย์จะสร้างความสุขขึ้นมาได้ ในสภาพของสังคมที่เต็มไปด้วยปัญหามากมายเช่นนี้คงเป็นเรื่องที่ยากมาก แม้ว่าจะสร้างขึ้นมาได้จริง ๆ ความสุขที่เกิดขึ้นก็คงจะมิใช่ความสุขที่แท้จริง แต่คงเป็นสภาพของความสุขในสังคมที่สับสน ไม่เป็นความสุขที่ยั่งยืน ทางที่ถูกต้องก็คือ ปัญหาใหญ่ ๆ และสำคัญจะต้องได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้องเสียก่อน จึงจะสามารถสร้างความสุขที่แท้จริงขึ้นมาในสังคมได้
ทัศนะเรื่องความสุขของนักจิตวิทยากลุ่มมนุษยนิยมใหม่
นักจิตวิทยาในกลุ่มมนุษยนิยมใหม่ (Neo-Humanism) ซึ่งแยกกลุ่มของตนเองออกมาจากกลุ่มมนุษยนิยม เมื่อประมาณปี ค.ศ. 1986 และก็ถือกันว่าเป็นคลื่นลูกใหม่ทางจิตวิทยา นักจิตวิทยากลุ่มนี้มีทัศนะว่า
สรรพสิ่งทั้งหลาย มีสายใยของชีวิตเชื่อมโยงใยถึงกันหมด และดำรงอยู่ในลักษณะของบูรณาการในระบบองค์รวม โดยที่แต่ละส่วนที่มีอยู่ (place) และมีการแสดงซึ่งอยู่ในขอบเขตของตนเอง (sphere of
expression) สรรพสิ่งทั้งล้วนแต่ดำรงอยู่ในสายใยแห่งชีวิตสายเดียวกัน โดยที่ชีวิตทุกชีวิตมีความสำคัญ มีคุณค่า และสามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองให้สูงขึ้นได้ เมื่อได้ตระหนักรู้และมีโอกาสที่จะพัฒนา
นักจิตวิทยาในกลุ่มมนุษยนิยมใหม่ ได้จัดลำดับความต้องการของมนุษย์ออกเป็น 6 ขั้น จากขั้นความสุขพื้นฐาน (Fundamental happiness) จนถึงขั้นสูงสุด คือความสุขอันยิ่งใหญ่ เป็นความสุขที่ไม่สามารถบอกจุดตั้งต้นได้ และจุดสิ้นสุดได้ เรียกว่า อมตสุข (Eternal happiness) ความต้องการ 6 ประการมีดังนี้
1. ความต้องการตามธรรมชาติของมนุษย์
2. ต้องการความปลอดภัยทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ
3. ต้องการความรัก การยอมรับจากบุคคลอื่น
4. ต้องการเห็นคุณค่าของตนเอง
5. ต้องการมีอิสรภาพ
6. ต้องการมีความรักให้กับทุกสรรพสิ่ง เรียกว่า เป็นความรักที่ไร้อัตตา หรือความรักอันไร้ขอบเขต (Universal love)
ความสุขในขั้นสูงสุดเป็นความสุขที่เกิดขึ้นจากการที่บุคคลเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง ความสุขในขั้นนี้เป็นความสุขที่เกิดจากความรักความเมตตาอันไร้ขอบเขต เป็นความสุขของพระโพธิ์สัตว์ ผู้ซึ่งพร้อมที่จะกระทำสิ่งที่ดีและมีประโยชน์โดยไม่มีเงื่อนไข ความสุขในขั้นนี้จึงเป็นอมตสุข
การสร้างความสุขในสังคม ชีวิตเพื่อสันติสุขและสันติภาพ
ความสุขในสังคมเป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องช่วยกันสร้างโดยมีหลักการว่า ชีวิตจะมีสันติสุขได้นั้น ในเบื้องต้นบุคคลจำเป็นต้องมีหลักในการดำเนินชีวิตคือ มีศรัทธาในศาสนาที่ตนนับถือ มีความคิดเป็นอิสระ และมีความรักต่อเพื่อนมนุษย์และสรรพสิ่งทั้งหลาย


