สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
สถานภาพและบทบาทของสตรีอินเดียในสมัยก่อนพุทธกาล
กฎเกณฑ์ทางสังคมที่มีผลกระทบต่อสตรีอินเดีย
ในประวัติศาสตร์อินเดียนั้นผู้หญิงมักจะผูกพันอยู่กับชีวิตแห่งการมีครอบครัว
แม้มนูจะวาดภาพสตรีออกมาในเชิงปฏิเสธทำให้เกิดกฎเกณฑ์และข้อห้ามต่าง ๆ มากมาย
ที่จะจำกัดขอบเขตของสตรีจนราวกับว่าสตรีมิได้มีความเป็นมนุษย์ในระดับเดียวกับชาย
หญิงที่ไม่รักษาพรหมจรรย์ของตนมีโทษต้องไปเป็นทาสของพระราชาด้วย
หญิงที่เป็นทาสนี้บางส่วนคงเป็นทาสรับใช้กิจการต่าง ๆ
และบางส่วนที่หน้าตาสวยงามคงเป็นนางคณิกา
เพราะถือว่าเมื่อไม่รักพรหมจรรย์แล้วก็ให้มีหน้าที่รับใช้ทางเพศเสียเลย
แต่หลักข้อนี้ก็ดูขัดกับการรับรองการแต่งงานแบบคานธารวะ
ซึ่งเกาฏิลียะกำหนดว่าถ้าสองฝ่ายพอใจก็ใช้ได้
หากไม่มีข้อกำหนดดังกล่าวแล้วโทษตามกฎข้อนี้ก็จะสอดคล้องกับเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของพิธีแต่งงานตามหลักของฮินดู
ซึ่งมีข้อกำหนดในรายละเอียดดังนี้
พิธีแต่งงานหรือวิวาหะ ซึ่งพบในศรุติอาจสรุปได้ดังนี้ เริ่ม
ด้วยการกำหนดวันทำพิธีพิจารณาคุณสมบัติ เช่นวรรณะ ลักษณะทางกาย ชื่อ เป็นต้น
ของชายและหญิง พิธีเริ่มด้วยการส่งคนไปสู่ขอต่อบิดาของฝ่ายหญิง
เมื่อตกลงกันแล้วเจ้าบ่าวจะไปสู่บ้านพ่อตาโดยมีขบวนหญิงสาวนำไป
เจ้าบ่าวจะได้รับการต้อนรับด้วยพิธี อรฆย และมธุปรก เจ้าบ่าวเจิมเจ้าสาวด้วยน้ำมัน
มอบเสื้อผ้าใหม่ ขนเม่น และกระจกแก่เธอ พ่อเจ้าสาวจูงเธอมาให้แก่เจ้าบ่าว พี่ชาย
น้องชาย แม่ เจ้าสาวเทข้าวเปลือกลงบนมือของทั้งคู่ที่จับกันอยู่
เจ้าสาวยืนบนหินก้อนหนึ่งเดินไปรอบกองไฟเจ็ดก้าวโดยเจ้าบ่าวจูงมือเธอ (ปาณิครหณ)
แตะไหล่ หัวใจ และสะดือของเธอ โปรยน้ำรดเธอ เสื้อผ้าของทั้งคู่ถูกผูกเข้าด้วยกัน
หรืออาจผูกมือเข้าด้วยกัน นำของไหว้ไปไหว้ครู เจ้าสาวร้องไห้
ตั้งขบวนนำเจ้าสาวไปบ้านสามีโดยนั่งรถ ม้า หรือช้างไป เจ้าสาวถือไฟ
ทำพิธีปัดรังควานไปตลอดทาง เธอก้าวเข้าประตูโดยไม่เหยียบธรณีประตู
และนั่งลงบนหนังวัวสีแดง
บนตักอุ้มเด็กซึ่งเกิดจากผู้หญิงที่มีแต่ลูกชายและลูกทุกคนยังมีชีวิต
บ่าวสาวกินอาหารซึ่งสังเวยเทพเจ้าแล้ว สามีชิมก่อนแล้วให้ภรรยา
หรืออาจจะเจิมซึ่งกันและกัน แตะหัวใจของกันด้วยอาหารอันเป็นเครื่องสังเวยก็ได้
ตอนเย็นมีการสวดมนต์บูชาดาวเหนือและดาวอรุณธติ ซึ่งสามีชี้ให้ภรรยาดู
หลังพิธีแล้วพิจารณาพรหมจรรย์สามวันโดยเอาท่อนไม้วางคั่นระหว่างหมอน
วันที่สี่มีพิธีปัดรังควานขับไล่สิ่งเลวร้ายออกจากเจ้าสาว
เครื่องสังเวยที่เหลือนำมารวมกันและใช้เจิมทั่วร่างกายของเธอแม้กระทั่งปลายเล็บและปลายเส้นผม
พิธีทั้งหมดนี้มาจากการแต่งงานของสูรยเทพ วันที่ห้าตามตำราของเพาทายนะ
มีการทำพลีกรรมที่ต้นมะเดื่อซึ่งตกแต่งด้วยของขวัญตามกิ่ง
พิธีแต่งงานนี้ถือเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์
ผู้มีสิทธิสาธยายมนตร์พิธีแต่งงานต้องเป็นสาวพรหมจารีเท่านั้น
จึงเท่ากับว่าผู้ที่ไม่ใช่สาวพรหมจารีไม่สามารถเข้าพิธีแต่งงานศักดิ์สิทธิ์นี้ได้
เมื่อผ่านพิธีนี้แล้วก็ถือว่าเป็นสามีภรรยากันตลอดไป
แม้แต่การหย่าร้างก็ไม่ถือว่าทำให้ขาดจากการเป็นสามีภรรยากัน
ผู้หญิงที่ได้ผ่านพิธีนี้จึงถือว่าเป็นผู้มีเกียรติทั้งในด้านกฎหมาย สังคม และศาสนา
แม้ในอรรถศาสตร์เองก็กำหนดไว้ว่า
การแต่งงานอันศักดิ์สิทธิ์ (4 ประการแรก) จักหย่าร้างมิได้
การแต่งงานอันศักดิ์สิทธิ์นี้จึงทำได้ครั้งเดียว
เมื่อสามีหรือภรรยาแต่งงานใหม่ไม่ถือว่าถูกต้องในแง่ศาสนา
และเมื่อประกอบเข้ากับกฎหมายที่มุ่งรักษาความมั่นคงของครอบครัวด้วยแล้ว
การแต่งงานใหม่ก็มีโอกาสน้อย แต่ทั้งนี้เป็นเรื่องหลักการ
ความเป็นจริงของสังคมก็ยังเป็นเช่นเดิมคือผู้หญิงยังได้รับการปฏิบัติที่เลวกว่ามาตรฐานดังกล่าวมาก
ระบบสตีมีปฏิบัติกันในท้องที่บางแห่งทางตะวันตกเฉียงเหนือ
แต่ยังไม่นิยมกันในท้องที่ส่วนใหญ่ การมีภรรยาคนเดียวเป็นแต่กฎ
แต่คนรวยและชนชั้นปกครองเริ่มมีภรรยาหลายคน
ความบริสุทธิ์ทางกายของผู้หญิงถือเป็นเรื่องสำคัญ
จึงไม่สนับสนุนการแต่งงานใหม่ของหญิงหม้าย การหย่า
รวมทั้งการแต่งงานกับภรรยาหม้ายของพี่ชายหรือน้องชายของตน
การไม่ทำตามกฎดังกล่าวนี้มีมากบ้างน้อยบ้างตามสภาพสังคม
หากสังคมใดผู้หญิงมีการศึกษาดี
กฎหมายเข้มงวดมากฐานะของผู้หญิงที่เป็นภรรยาคนแรกก็ดีขึ้น แต่ถ้าผู้หญิงการศึกษาต่ำ
แม้กฎหมายเข้มงวด การทำตามกฎหมายก็อาจมีอุปสรรค
แม้แต่การไปไหนมาไหนตามใจก็ถูกจำกัดเพราะผู้หญิงที่ไม่ได้รับการศึกษาอาจถูกหลอกลวงหรือเสียหายได้เมื่อออกไปนอกบ้าน
ระบบห้ามผู้หญิงออกจากบ้านหรือ ปุรทห จึงเกิดขึ้น
นอกจากนั้นการที่ไม่ได้รับการศึกษาย่อมไม่อาจเข้าร่วมสมาคมที่สำคัญได้การออกนอกบ้านจึงไม่มีความจำเป็นไม่เป็นประโยชน์เท่าอยู่ทำงานในบ้านและดูแลอบรมลูก
จึงเกิดเป็นเหตุผลให้ผู้หญิงต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน
และดูเป็นเรื่องสมเหตุสมผลในสภาวะเช่นนั้น
ในสังคมอินเดียโบราณ สิทธิการเลือกคู่ของสตรี
มีผู้หญิงฮินดูมีสิทธิ์มากในเรื่องนี้
ในเรื่องการเลือกคู่ซึ่งในยุคมหากาพย์มีเรื่องผู้หญิงเลือกสามีเอง เช่น
กรณีของนางสีดาในรามายณะ ธรรมเนียมเช่นนี้นิยมกันในหมู่กษัตริย์ซึ่งเป็นวรรณะสูง
หรือต้องการให้ได้คู่ที่เหมาะสมแก่ฝ่ายหญิงมากที่สุด
ในเมื่อเป็นผู้หญิงชั้นสูงย่อมเป็นของมีค่าสำหรับผู้ชาย
และผู้ชายที่มีคุณสมบัติดีต่างมาเสนอตัวให้เลือกหรือแข่งขันกันเพื่อจะได้มีโอกาสแต่งงานกับผู้หญิงนั้น
กรณีเช่นนี้จะว่าผู้หญิงมีฐานะต่ำในด้านชีวิตคู่ไม่ได้เลยผิดกับสมัยปัจจุบันที่ผู้หญิงอินเดียเป็นฝ่ายไปสู่ขอผู้ชายและฝ่ายชายกลับเป็นผู้เลือกผู้หญิง
เหตุผลอีกประการหนึ่งก็คือผู้ชายในสังคมที่เป็นผู้ถูกเลือกจะต้องประพฤติตัวให้ดีทำการงานอาชีพดีผู้หญิงที่ดีจึงจะเลือกผู้หญิงไม่ต้องมีอะไร
เพียงแต่มีคุณสมบัติและรูปสมบัติ หรือมีอย่างใดอย่างหนึ่งก็มีสิทธิเลือกผู้ชายแล้ว
ในอรรถศาสตร์แม้นางคณิกายังมีสิทธิ์เลือกหลับนอนกับผู้ชายเฉพาะที่เธอต้องการ
แต่ผู้ชายไม่มีสิทธิ์บังคับเธอ
ในสมัยปัจจุบันผู้หญิงฮินดูกลับเป็นฝ่ายให้ผู้ชายเลือก เธอจึงต้องการศึกษาดี
มีทรัพย์สินเงินทองจึงจะมีโอกาสแต่งงานกับผู้ชายที่เธอปรารถนา
ผู้ชายนั้นอาจมั่งมีหรือไม่ก็ตามเขาจะเป็นผู้เลือกตามความต้องการของเขาผู้หญิงฮินดูจึงมีฐานะตกต่ำลงโดยนัยนี้
การที่ผู้หญิงต้องพึ่งพ่อเมื่อเด็ก พึ่งสามีเมื่อสาว
พึ่งลูกชายเมื่อแก่ก็อาจตีความว่าผู้หญิงต้องพึ่งผู้ชายตลอดกาล
แต่ก็อาจตีความตรงข้ามได้ว่าการเก็บผู้หญิงไว้ในบ้านเป็นการพิทักษ์รักษาผู้หญิงเพราะนอกบ้านไม่ปลอดภัย
ส่วนการที่ผู้ชายต้องดูแลผู้หญิงตลอดชีวิตก็แสดงถึงหน้าที่ของผู้ชายที่จะไม่ปล่อยให้ผู้หญิงไปตกระกำลำบาก
บางคนอธิบายว่าสามีแปลว่า นาย หรือผู้ชายปกครองผู้หญิง แต่ก็อาจอธิบายว่า ภรรยา
แปลว่า ภาระ คือ ผู้ชายต้องคิดถึงผู้หญิง ต้องคอยดูแลรับภาระเลี้ยงดูผู้หญิง
จะเลี่ยงหน้าที่นี้ไม่ได้
สังคมโบราณซึ่งผู้หญิงมีสามีหลายคน
หรือผู้หญิงมีบทบาทในการรบน่าจะมีอยู่มาก เช่น ทหารองครักษ์ของพระเจ้าจันทรคุปต์
ก็เป็นทหารหญิงชาวอะมาซอน การที่สังคมดังกล่าวแทบไม่เหลืออยู่ในปัจจุบัน
น่าจะกล่าวได้ว่าแม้ผู้หญิงก็ไม่เห็นด้วยกับสังคมเช่นนั้นทำนองเดียวกับที่สังคมชายเป็นใหญ่และชายมีภรรยาหลายคนก็ลดลง
เพราะผู้ชายเองก็ไม่เห็นด้วย
สถานภาพและบทบาทของสตรีอินเดีย
สิทธิ
หน้าที่ของสตรีอินเดีย
กฎเกณฑ์ทางสังคมที่มีผลกระทบต่อสตรีอินเดีย
การยอมรับศักยภาพของสตรีอินเดีย
เสรีภาพและความเสมอภาคของสตรีในสังคมอินเดีย
การคุ้มครองสตรีในสังคมอินเดีย


