สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
สถานภาพและบทบาทของสตรีอินเดียในสมัยก่อนพุทธกาล
การคุ้มครองสตรีในสังคมอินเดีย
ในมนูธรรมศาสตร์รัฐให้ความคุ้มครองแก่สตรีทั้งในเรื่องชื่อเสียงเกียรติยศและทรัพย์สิน
ผู้ชายจะละเมิดเธอในเรื่องทั้งสองนี้มิได้
แม้กระทั่งผู้หญิงมีข้อบกพร่องจริงหากผู้ชายนำไปเปิดเผยก็ต้องถูกลงโทษ ดังนี้
หากชายได้เปิดเผยข้อบกพร่องของหญิงซึ่งเดิมไม่มีใครรู้มาก่อน
พระราชาพึงปรับชายนั้นเก้าสิบหกปณะ ชายใดเมื่อไม่ชอบหญิงสาว
กล่าวคำติเตียนหญิงนั้นว่าไม่ใช่หญิง ต้องถูกปรับห้าร้อยปณะ
หากไม่สามารถพิสูจน์ความบกพร่องของเธอได้
ชายวรรณะเดียวกับหญิงทำให้หญิงเสียชื่อโดยความพอใจของหญิงนั้นเอง
ไม่ต้องถูกตัดนิ้ว แต่เพื่อมิให้เกิดเรื่องเช่นนั้นอีก พึงปรับชายนั้นสองร้อยปณะ
ชายที่กล่าวติเตียนหรือหมิ่นเกียรติผู้หญิงไม่ว่าจะพิสูจน์ขอบกพร่องได้หรือไม่ก็ตาม
ถือว่าทำให้ผู้หญิงเสื่อมเสีย
เพราะไม่ว่าเธอจะบกพร่องจริงหรือไม่ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเธอ
ดังนั้นหากพิสูจน์ความจริงไม่ได้ต้องถูกปรับห้าร้อยปณะ
และแม้พิสูจน์ได้ก็คงเข้าข่ายเปิดเผยข้อบกพร่อง ซึ่งต้องถูกปรับเก้าสิบหกปณะ
แม้กระทั่งกรณีที่หญิงนั้นพอใจเมื่อผู้ชายกระทำล่วงเกินก็ถือเป็นความเสียหายของหญิง
และเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี แม้หญิงนั้นพอใจแต่ก็เป็นความเสียหายแก่ผู้หญิงโดยส่วนรวม
หากเกิดเรื่องเช่นนั้นบ่อยๆ ก็กระทบกระเทือนศีลธรรมของรัฐ
ชายจึงต้องถูกลงโทษปรับสองร้อยปณะแต่หากเป็นกรณีที่หญิงนั้นไม่พอใจจะต้องถูกลงโทษทางกายคือตัดนิ้วเป็นการประจานด้วย
การคุ้มครองสตรีนั้นรัฐทำทั้งแก่สตรีทั่วไปและสตรีที่ตกอับ
และได้รับความทุกข์ในเรื่องต่าง ๆ กฎนี้เป็นกฎในระดับนโยบายของรัฐ
เป็นหลักซึ่งพระราชาจะต้องยึดถือปฏิบัติ โดย
พระราชาพึงคุ้มครองสตรีผู้ถูกสามีทอดทิ้งเพราะไม่มีบุตร หรือไม่มีบุตรชาย
สตรีไร้ครอบครัว สตรีผู้ยึดมั่นในคำสัตย์เกี่ยวกับการสมรส
สตรีหม้ายหรือสตรีที่เจ็บป่วย
สตรีที่ไม่มีผู้ดูแลไม่ว่าวรรณะสูงหรือต่ำ
รัฐจะต้องคุ้มครองผู้กระทำผิดต่อหญิงเหล่านี้เท่ากับรังแกหญิงที่ขาดที่พึ่ง
รัฐเป็นที่พึ่งที่จะป้องกันหญิงเหล่านี้มิให้ถูกผู้ชายรังแก
แม้ผู้ชายนั้นอยู่ในวรรณะสูงจะถือโอกาสเอาฐานะทางวรรณะเป็นอำนาจรังแกผู้หญิงตามอำเภอใจไม่ได้
ดังบทบัญญัติที่ว่า
หากพราหมณ์ร่วมประเวณีกับหญิงวรรณะกษัตริย์ก็ดี ไวศยะก็ดี
โดยหญิงนั้นไม่มีผู้ดูแล หรือร่วมประเวณีกับหญิงศูทร จักต้องถูกปรับ
ห้าร้อยปณะหากร่วมประเวณีกับหญิงจัณฑาลจักต้องถูกปรับหนึ่งพันปณะ
อาจมีผู้คิดว่า
หญิงที่ไม่มีผู้ดูแลคือหญิงที่ออกจากครอบครัวซึ่งเป็นการผิดธรรมเนียมของหญิงที่ดี
จึงนับเป็นหญิงต่ำเท่ากับศูทร
บทบัญญัติข้อนี้น่าจะแสดงว่าไม่ต้องการให้พราหมณ์ซึ่งวรรณะสูงเข้าไปเกี่ยวข้องกับผู้หญิงที่ไม่ดี
แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นปล่อยให้ผู้หญิงเหล่านี้ถูกรังแกตามอำเภอใจโดยที่รัฐไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวจะมิเป็นการดีกว่า
หรือเพราะการที่รัฐไม่คุ้มครองก็ย่อมเป็นการแสดงว่าเธอเหล่านั้นไร้คุณค่าอยู่แล้ว
นอกจากนั้นในเรื่องวรรณะก็มิได้ห้ามชายวรรณะสูงแต่งงานกับหญิงวรรณะต่ำอยู่แล้ว
จะห้ามก็แต่ชายวรรณะต่ำแต่งงานกับหญิงวรรณะสูง
การที่ชายวรรณะสูงแต่งงานกับหญิงวรรณะต่ำ
มนูธรรมศาสตร์กล่าวแต่เพียงว่าตระกูลของชายนั้นจะเสื่อมลงเท่านั้น
ดังข้อความต่อไปนี้
ชายทวิชาติพึงเลือกแต่งงานกับหญิงวรรณะเดียวกันเป็นปฐม
แต่หากชายใดโดยตัณหาเป็นเหตุ ได้หญิงวรรณะต่ำกว่าก็นับเป็นภรรยาได้
ชายทวิชาติแต่งงานกับหญิงไร้วรรณะ โดยความลุ่มหลง
ย่อมนำพาตระกูลแลลูกหลานไปสู่สภาวะเป็นศูทรโดยเร็วเป็นแน่แท้
พราหมณ์เมื่อนำหญิงศูทรไปยังเตียงของตน ย่อมก้าวไปสู่ทางต่ำยิ่งมีบุตรกับเธอ
เขาย่อมพ้นจากสภาวะเป็นพราหมณ์
ข้อความข้างต้นนี้แสดงให้เห็นว่า
ในสภาวะปกติชายวรรณะสูงกับหญิงวรรณะต่ำหรือแม้แต่หญิงไม่มีวรรณะก็แต่งงานกันได้
กรณีที่มีข้อกำหนดโทษตามที่อภิปรายมาแล้ว
จึงน่าจะเป็นกรณีที่ผู้หญิงถูกรังแกมากกว่า
เพราะหากเป็นความสมยอมผู้หญิงจะได้ฐานะสูงขึ้นอยู่แล้ว
คงไม่เป็นคดีไปถึงศาลจนต้องมีการปรับไหมกันขึ้นเป็นแน่การคุ้มครองทรัพย์สินของหญิงตามที่ระบุไว้ในมนูธรรมศาสตร์
ได้แก่
สิ่งที่ได้จากพิธีแต่งงานสิ่งที่ได้จากขบวนแห่เจ้าสาวสิ่งที่ได้รับในฐานะเป็นเครื่องแสดงความเสน่หา
สิ่งซึ่งได้จากพี่ชาย มารดาและบิดา เป็นสมบัติทุกประการของหญิง
บทบัญญัตินี้แสดงว่าหญิงมีสิทธิที่จะมีทรัพย์สมบัติเป็นของตน
และมารดาก็เป็นผู้มีทรัพย์ได้ จึงมีสิทธิมอบทรัพย์แก่บุตรสาวของตน
ข้อที่ทำให้เห็นได้ชัดว่าสตรีมีทรัพย์ส่วนตัวได้จริงก็คือ
มีกฎหมายเกี่ยวกับการที่ผู้หญิงสามารถยกทรัพย์ของเธอเป็นมรดกแก่ลูกหลานได้
ซึ่งมีบทบัญญัติอยู่หลายข้อ ดังนี้
สิ่งซึ่งได้มาเป็นของขวัญหลังจากที่แต่งงานแล้ว
จากครอบครัวของสามีหรือจากญาติที่เกี่ยวดองกันของเธอ
สิ่งซึ่งสามีอันเป็นที่รักให้แก่เธอย่อมตกเป็นสมบัติแก่ลูกของเธอ
หากเธอตายลงในขณะเมื่อสามียังมีชีวิต
บทบัญญัตินี้แสดงให้เห็นว่าแม้กระทั่งสามีมีชีวิตอยู่เมื่อเธอตาย
ทรัพย์ของเธอก็ยังตกเป็นของลูก มิใช่ของสามี
ซึ่งแสดงให้เห็นสิทธิอันบริบูรณ์ในทรัพย์สินของเธอ
ยิ่งกว่านั้นยังมีข้อกำหนดเป็นพิเศษให้สมบัติของแม่ตกเป็นของบุตรสาว
และหากพ่อแม่หญิง หญิงนั้นไม่มีบุตรชาย
บุตรชายของบุตรสาวของเธอยังเป็นผู้มีสิทธิได้รับมรดกของบิดาของเธอคือมรดกของตาของเด็กนั้น
ข้อบัญญัติมีดังนี้
สมบัติส่วนตัวของผู้เป็นมารดาพึงตกแก่บุตรสาวและลูกชายของบุตรสาวเท่านั้นที่มีสิทธิได้รับสมบัติทั้งหมดของตา
หากตาตายโดยไม่มีบุตรชาย
บทบัญญัติข้อนี้แสดงให้เห็นการสืบมรดกในสายของฝ่ายหญิง
ซึ่งลูกสาวได้มรดกของแม่ แต่ก็มีบทบัญญัติบางข้อที่ขัดกัน
โดยให้แบ่งมรดกของแม่แก่ลูกเท่า ๆ กัน คือ
เมื่อมารดาตาย พี่น้องผู้ชายแม่เดียวกัน
และพี่น้องผู้หญิงซึ่งยังไม่ได้แต่งงานได้มรดกของแม่เท่า ๆ กัน
หากพี่น้องผู้หญิงเหล่านี้มีลูกสาว
ลูกสาวนั้นพึงได้สมบัติบางสิ่งของยายตามศักดิ์แห่งฐานะของเธอ
บทบัญญัติที่ยกมานี้แม่ให้มรดกแก่บุตรทั้งชายและหญิงเท่ากัน
แต่ก็ยังมีข้อกำหนดเฉพาะ คือ หลานสาวมีส่วนได้มรดกของยายด้วย
แม้ผู้หญิงที่สามีตายอยู่กินกับผู้ชายในครอบครัวของสามี
เธอก็ยังมีสิทธิโอนมรดกของเธอให้ลูกชายที่เกิดกับผู้ชายคนใหม่นั้น คือ
หากหญิงใดสามีตายไปโดยไม่มีลูก มีลูกกับชายในครอบครัวเดียวกัน
เธอย่อมโอนทรัพย์โดยที่ได้รับมรดกมาแก่บุตรชายนั้น
การที่เธอมีสิทธิโอนมรดกไปให้แก่บุตรแสดงว่าสามีมิได้มีสิทธิในทรัพย์สมบัติของเธอยิ่งกว่านั้น
แลหากขณะหญิงเหล่านี้ยังมีชีวิต ญาติเอาทรัพย์ของเธอไป
พระราชาผู้ทรงความยุติธรรมพึงลงโทษแก่ญาตินั้น ดุจเดียวกับที่ลงโทษแก่โจร
ข้อที่น่าประหลาดใจประการหนึ่งก็คือ
มีบทบัญญัติข้อหนึ่งซึ่งขัดกับบทบัญญัติที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดอย่างชัดแจ้งว่า
ภรรยา บุตร และทาส สามอย่างนี้ชื่อว่าไร้ทรัพย์สมบัติ
ทรัพย์ใดที่บุคคลเหล่านี้หามาได้ตกเป็นของผู้เป็นเจ้าของ
ความคุ้มครองโดยข้อบัญญัติยกย่องสตรี
ที่มิให้สตรีถูกละเมิดในเรื่องชื่อเสียงและทรัพย์สมบัตินั้นเป็นแง่หนึ่ง
แต่ลำพังแง่นั้นก็อาจเป็นเพียงการคุ้มครองสตรีเพื่อความสงบของสังคมเท่านั้น
มนูธรรมศาสตร์มีบทบัญญัติในแง่ยกย่องสตรีซึ่งเป็นการยืนยันอย่างชัดเจนว่าให้คุณค่าและความสำคัญแก่สตรี
ดังนี้
สตรีพึงได้รับความยกย่องและได้รับเครื่องประดับจากบิดา พี่ชาย สามี
และพี่เขย หากบุคคลเหล่านั้นหวังความเจริญ ที่ใดสตรีได้รับความยกย่อง
ที่นั้นเทพยดาย่อมยินดี ที่ใดสตรีมิได้รับความยกย่อง
ที่นั้นพิธีกรรมทั้งปวงย่อมไร้ผล
ข้อควมยกย่องสตรีที่กล่าวถึงนี้คล้ายกับที่ปรากฏในหลักอปริหานิยธรรมอันเป็นหลักปกครองที่ทำให้พวกลิจฉวีสามารถรักษาบ้านเมืองไว้ได้
เป็นหลักการที่รัฐต้องยึดถือมิใช่เป็นเพียงมารยาทสังคม
คำกล่าวที่ว่าพิธีกรรมย่อมไร้ผล นั้นมีความหมายมาก
เพราะชาวอินเดียโบราณถือว่ากิจกรรมทุกอย่างของมนุษย์สำเร็จได้ด้วยพิธีกรรมหากพิธีกรรมไร้ผลทั้งสังคมย่อมพบความหายนะ
การกล่าวว่าหากไม่ยกย่องสตรีแล้ว
พิธีกรรมทั้งปวงจะไร้ผลจึงเป็นการยืนยันฐานะสตรีว่าสูงและรัฐต้องยกย่องและปกป้องคุ้มครองอย่างดี
สถานภาพและบทบาทของสตรีอินเดีย
สิทธิ
หน้าที่ของสตรีอินเดีย
กฎเกณฑ์ทางสังคมที่มีผลกระทบต่อสตรีอินเดีย
การยอมรับศักยภาพของสตรีอินเดีย
เสรีภาพและความเสมอภาคของสตรีในสังคมอินเดีย
การคุ้มครองสตรีในสังคมอินเดีย


