สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
บัญญัติ 10 ประการ วิชาเศรษฐศาสตร์
บทบัญญัติที่
1
บทบัญญัติที่
2
บทบัญญัติที่
3
บทบัญญัติที่
4
บทบัญญัติที่
5
บทบัญญัติที่
6
บทบัญญัติที่
7
บทบัญญัติที่ 8
บทบัญญัติที่
9
บทบัญญัติที่
10
บทบัญญัติที่ 8 : มาตรฐานการครองชีพของประเทศขึ้นอยู่กับความสามารถในการผลิตสินค้าและบริการ
ความแตกต่างของมาตรฐานการครองชีพทั่วโลกเป็นไปอย่างน่าเป็นห่วง ในปี 1993
ชาวอเมริกันโดยทั่วไปมีรายได้ประมาณ 25,000 ดอลลาร์
ขณะที่ชาวเม็กซิโกมีรายได้ประมาณ 7,000 ดอลลาร์ ส่วนไนจีเรียประมาณ 1,500 ดอลลาร์
ความแตกต่างของรายได้เฉลี่ยอย่างสูงนี้สะท้อนผ่านดัชนีวัดคุณภาพชีวิตหลายดัชนี
ประชากรของประเทศที่มีรายได้สูงมีโทรทัศน์หลายเครื่องกว่า มีรถยนต์มากคันกว่า
มีอาหารการกินดีกว่า มีบริการสุขภาพที่ดีกว่า
และมีอายุขัยสูงกว่าคนในประเทศที่มีรายได้ต่ำกว่า
การเปลี่ยนแปลงมาตรฐานการครองชีพเป็นไปอย่างก้าวกระโดด ในสหรัฐอเมริกา
การเติบโตของรายได้หลังปรับด้วยต้นทุนการครองชีพแล้ว สูงขึ้นร้อยละ 2% ต่อปี
ด้วยอัตราดังกล่าว สหรัฐอเมริกามีรายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 2 เท่าในทุก ๆ 35 ปี
ในบางประเทศ การเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นไปอย่างรวดเร็วกว่า ตัวอย่างเช่น
ประเทศญี่ปุ่น รายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
ส่วนประเทศเกาหลีใต้ รายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวในช่วงระยะเวลาเพียง 10 ปี
อะไรคือสิ่งที่สามารถอธิบายการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานการครองชีพของประเทศต่าง ๆ
อย่างขนานใหญ่ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ? คำตอบนี้ง่ายจนน่าแปลกใจ
ความแตกต่างของมาตรฐานการครองชีพของประเทศต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับ ผลิตภาพ
(productivity) ของแต่ละประเทศนั่นเอง ผลิตภาพ หมายถึง
จำนวนสินค้าและบริการที่ผลิตขึ้นจากเวลาแต่ละชั่วโมงทำงานของคนงาน
ประเทศที่คนงานสามารถผลิตสินค้าและบริการได้เป็นจำนวนมากต่อหนึ่งหน่วยเวลา
ประชาชนส่วนใหญ่ก็จะมีมาตรฐานการครองชีพสูง ในประเทศที่มีผลิตภาพต่ำกว่า
คนในประเทศนั้นก็ต้องอดทนกับชีวิตความเป็นอยู่ที่ขาดแคลน
อัตราการเติบโตของผลิตภาพในประเทศเป็นตัวกำหนดอัตราการเติบโตของรายได้เฉลี่ย
ความสัมพันธ์พื้นฐานระหว่างผลิตภาพและมาตรฐานการครองชีพเป็นความสัมพันธ์ง่าย ๆ
แต่หากจะเข้าใจนัยของมันต้องมองให้ลึก
ถ้าผลิตภาพเป็นปัจจัยกำหนดตัวแรกของมาตรฐานการครองชีพ ปัจจัยกำหนดอื่น ๆ
ก็จะมีความสำคัญรองลงไป ตัวอย่างเช่น หลายคนคิดว่า ในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา
มาตรฐานการครองชีพของสหรัฐอเมริกาที่เพิ่มขึ้นเป็นเพราะผลการดำเนินงานของสหภาพแรงงานและกฎหมายค่าจ้างขั้นต่ำ
แต่แท้จริงแล้ว
ฮีโร่ที่แท้จริงของคนงานอเมริกันคือผลิตภาพที่เพิ่มขึ้นของพวกเขาต่างหาก
หรือกรณีการเติบโตของรายได้สหรัฐอเมริกาที่เชื่องช้าในช่วง 1-2
ปีมานี้ถูกนักวิเคราะห์มองว่าเป็นเพราะการแข่งขันที่สูงขึ้นจากประเทศญี่ปุ่นและประเทศอื่น
ๆ แต่จริง ๆ แล้ว ไม่ใช่เพราะการแข่งขันจากต่างชาติ
หากเป็นเพราะการเติบโตของผลิตภาพที่ลดลงของสหรัฐอเมริกาเองต่างหาก
ความสัมพันธ์ระหว่างผลิตภาพและมาตรฐานการครองชีพมีผลเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งต่อนโยบายสาธารณะด้วย
เมื่อพิจารณาว่านโยบายสาธารณะจะกระทบมาตรฐานการครองชีพอย่างไร คำถามสำคัญคือ
นโยบายนั้นกระทบความสามารถในการผลิตสินค้าและบริการอย่างไร
หากต้องการเพิ่มมาตรฐานการครองชีพ
ผู้กำหนดนโยบายต้องเพิ่มผลิตภาพโดยเพิ่มการศึกษาให้แก่คนงาน
ลงทุนด้านเครื่องมืออุปกรณ์ที่ใช้ผลิตสินค้าและบริการ
และสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีที่ดีที่สุดได้
ตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
ข้อโต้แย้งส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกามีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ประเด็นการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาล
นั่นคือการที่รัฐบาลใช้จ่ายมากกว่ารายรับที่ได้มา หากเราพิจารณาให้ดี
การขาดดุลงบประมาณจะส่งผลด้านกลับต่อผลิตภาพ
เมื่อรัฐบาลต้องหาเงินมาชดเชยส่วนขาดดุล รัฐบาลอาจกู้เงินในตลาดการเงิน
เหมือนอย่างที่นักศึกษากู้เงินมาใช้จ่ายค่าเล่าเรียน
หรือเหมือนบริษัทกู้เงินมาสร้างโรงงานใหม่ แต่เมื่อรัฐบาลกู้เงินในตลาด
ปริมาณเงินทุนที่เหลือสำหรับให้เอกชนกู้ยืมก็จะน้อยลง
นั่นคืองบประมาณขาดดุลทำให้การลงทุนด้านทรัพยากรมนุษย์(เช่นค่าใช้จ่ายสำหรับการศึกษา)
และการลงทุนด้านทุนกายภาพ(เช่น โรงงานใหม่) ลดน้อยลง
งบประมาณขาดดุลจึงถูกมองว่าเป็นต้นเหตุของที่ทำให้การเติบโตของมาตรฐานการครองชีพลดลง
ทั้งนี้เนื่องจากการลงทุนที่ลดลงในปัจจุบันหมายถึงผลิตภาพที่ลดลงในอนาคต


