ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
ธีรวัส บำเพ็ญบุญบารมี ผู้อำนวยการโครงการอนุรักษ์คัมภีร์ มหาบัณฑิตสาขาวิชาพุทธศาสน์ศึกษา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
กรรมเก่ากรรมใหม่
การเกิดใหม่
เหตุที่คนอายุสั้นและอายุยืน
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
การเกิดใหม่
ในพระพุทธศาสนาเชื่อในการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ
ถ้ายังไม่หมดกรรมก็ต้องกลับมาเกิดอีกดังที่พระองค์แสดงไว้ในทัณฑสูตรมีใจความว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้
เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้
ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ ฯลฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท่อนไม้ที่บุคคลโยนขึ้นบนอากาศ บางคราวก็ตกลงทางโคน
บางคราวก็ตกลงทางขวาง บางคราวก็ตกลงทางปลาย
แม้ฉันใดสัตว์ทั้งหลายผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้
ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ก็ฉันนั้นแล บางคราวก็จากโลกนี้ไปสู่ปรโลก
บางคราวก็จากปรโลกมาสู่โลกนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า
สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ (สํ. นิทาน. 16/438-439/183)
และแสดงไว้ในทุคคตสูตรว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้
เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้
ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ
เธอทั้งหลายเห็นทุคตบุรุษผู้มีมือและเท้าไม่สมประกอบ พึงลงสันนิษฐานในบุคคลนี้ว่า
เราทั้งหลายก็เคยเสวยทุกข์เห็นปานนี้มาแล้ว โดยกาลนานนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะว่าสงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ (สํ. นิทาน. 16/438-439/185)
การท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏหาที่สุดและเบื้องต้นไม่ได้
การเกิดใหม่ย่อมมีได้ ถ้ายังไม่หมดกรรม
แต่พระอนุปาทิเสสบุคคลแม้เสียชิวตแล้วก็พ้นจากนรก
สามารถกำหนดได้ว่าจะเกิดอีกกี่ชาติ ดังที่พระองค์แสดงไว้ ในสอุปาทิเสสสูตร ว่า
ดูกรสารีบุตร บุคคล 9 จำพวกนี้ที่เป็นสอุปาทิเสส กระทำกาละ(ตาย)แล้วพ้นจากนรก
พ้นจากกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานพ้นจากเปรตวิสัย พ้นจากอบาย ทุคติ และวินิบาต 9 จำพวก
เป็นไฉน
ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล ในสมาธิ
กระทำพอประมาณในปัญญา บุคคลนั้นเป็นอันตราปรินิพพายี เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ 5
สิ้นไป ดูกรสารีบุตร นี้บุคคลจำพวกที่ 1 ผู้เป็นสอุปาทิเสสะ กระทำกาละ พ้นจากนรก
พ้นจากกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน พ้นจากเปรตวิสัย พ้นจากอบาย ทุคติ และวินิบาต
- อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีลในสมาธิ กระทำพอประมาณในปัญญา บุคคลนั้นเป็นอุปหัจจปรินิพพายี เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ 5 สิ้นไป ดูกรสารีบุตร นี้บุคคลจำพวกที่ 2 ...
- อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีลในสมาธิ กระทำพอประมาณในปัญญา บุคคลนั้นเป็นอสังขารปรินิพพายี เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ 5 สิ้นไป ดูกรสารีบุตร นี้บุคคลจำพวกที่ 3 อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีลในสมาธิ กระทำพอประมาณในปัญญา บุคคลนั้นเป็นสสังขารปรินิพพายี เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ 5 สิ้นไป ดูกรสารีบุตร นี้บุคคลจำพวกที่ 4 ...
- อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีลในสมาธิ กระทำพอประมาณในปัญญา บุคคลนั้นเป็นอุทธังโสโตอกนิฏฐคามีเพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ 5 สิ้นไป
ดูกรสารีบุตร นี้บุคคลจำพวกที่ 5 ...อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้
เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีลกระทำพอประมาณในสมาธิ ในปัญญา บุคคลนั้นเป็นสกทาคามี
เพราะสังโยชน์3 สิ้นไป เพราะราคะ โทสะ และโมหะเบาบาง
กลับมายังโลกนี้เพียงคราวเดียวจะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ดูกรสารีบุตร
นี้บุคคลจำพวกที่ 6 ... อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้
เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล กระทำพอประมาณในสมาธิ ในปัญญา บุคคลนั้นเป็นเอกพีชี
เพราะสังโยชน์สิ้นไป บังเกิดยังภพมนุษย์นี้ครั้งเดียว จะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้
ดูกรสารีบุตรนี้บุคคลจำพวกที่ 7 ...
อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล
กระทำพอประมาณในสมาธิ ในปัญญา บุคคลนั้นเป็นโกลังโกละ เพราะสังโยชน์ 3 สิ้นไป
ท่องเที่ยวอยู่ 2-3 ตระกูล แล้วจะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ดูกรสารีบุตร
นี้บุคคลจำพวกที่ 8 ... อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้
เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล กระทำพอประมาณในสมาธิ ในปัญญา
บุคคลนั้นเป็นสัตตักขัตตุปรมโสดาเพราะสังโยชน์ 3 สิ้นไป
ท่องเที่ยวอยู่ยังเทวดาและมนุษย์ 7 ครั้งเป็นอย่างยิ่งแล้วจะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้
ดูกรสารีบุตร นี้บุคคลจำพวกที่ 9 ผู้เป็นสอุปาทิเสสะกระทำกาละ พ้นจากนรก
พ้นจากกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน พ้นจากเปรตวิสัยพ้นจากอบาย ทุคติ และวินิบาต
ดูกรสารีบุตร อัญญเดียรถีย์ปริพาชก บางพวกโง่เขลา ไม่ฉลาด
อย่างไรจักรู้บุคคลผู้เป็นสอุปาทิเสสะว่า
เป็นสอุปาทิเสสะหรือจักรู้บุคคลผู้เป็นอนุปาทิเสสะว่า เป็นอนุปาทิเสสะ ดูกรสารีบุตร
บุคคล9 จำพวกนี้แล เป็นสอุปาทิเสสะ กระทำกาละ พ้นจากนรก พ้นจากกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน
พ้นจากเปรตวิสัย พ้นจากอบาย ทุคติและวินิบาต (องฺ .นวก. 23/216/303-306)
บุคคลทั้ง 9 นี้เท่านั้นที่มีคติที่แน่นอน
แม้จะกลับมาเกิดอีกก็ย่อมเกิดเพื่อจะบำเพ็ญความดีเพื่อจะได้เกิดในภพที่สูงขึ้นไปและในที่สุดก็สิ้นกิเลส
ไม่กลับมาเกิดอีกต่อไป สุนทร ณ รังษีกล่าวถึงการเวียนว่ายตายเกิดว่า
พุทธปรัชญาถือว่าการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏเป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาเพราะเป็นการวนเวียนอยู่ในกระแสหมุนวนแห่งความทุกข์
ความทุกข์ทุกประเภทแฝงตัวอยู่โดยธรรมชาติ ในกระแสของชีวิต
ในกระแสของการเวียนเกิดเวียนตายแล้วๆเล่าๆ ที่เรียกว่าสังสารวัฏ (สุนทร ณ รังษี,
พุทธปรัชญาจากพระไตรปิฎก,กรุงเทพฯ:จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,2543,หน้า 242.)


