ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
ปัญหาเรื่องบัญญัติ กับความจริง
อนัตตามีปัญหาอย่างไร
วิธีพิสูจน์ความมีอยู่ของอัตตา
การตอบปัญหาของพระนาคเสน
ทฤษฎีความสืบเนื่อง
ปัญหาเรื่องบัญญัติ กับ ความจริง (concept and reality)
ปัญหาข้อแรกที่พระเจ้ามิลินท์ยกขึ้นมาถามพระนาคเสน คือ บัญญัติปัญหา หรือ
นามปัญหา ถ้าดูจากชื่อของปัญหาข้อนี้ดูเหมือนจะไม่มีความลึกซึ้งอะไรมากนัก
ผู้ถามเพียงต้อการทราบชื่อของผู้ถูกถามเท่านั้น อย่างไรก็ตาม
ถ้าเราอ่านปัญหานี้อย่างละเอียด ดั้งแต่ต้นจนจบ
จะเห็นได้ว่าปัญหานี้เป็นเรื่องใหญ่และลึกซึ้งมาก
เพราะมุ่งตรงไปที่หัวใจคำสอนทางพระพุทธศาสนาถูกลัทธิคู่แข่งโต้แย้งมาตลอด
นั่นคือคำสอนเรื่องอนัตตา นอกจากนั้น ปัญหานี้ยังโยงไปหาปัญหาทางจริยศาสตร์ด้วย
คือปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างกรรมกับอนัตตา
ในนามปัญหานี้ พระนาคเสนใช้วิธีตอบปัญหา 3 แบบ คือ
- วิธีวิเคราะห์ (analytical) ได้แก่การวิเคราะห์แยกแยะสิ่งทั้งหลายออกเป็นส่วน ๆ เพื่อให้เห็นองค์ประกอบในระดับย่อยของมัน
- วิธีสังเคราะห์ (synthetic) ได้แก่ การสังเคราะห์หรือการรวมองค์ประกอบย่อย ๆ ที่แยกออกนั้นเข้าไว้ด้วยกัน
- การอุปมาเปรียบเทียบ (analogy) ได้แก่ การนำเอาเรื่องนามธรรมยาก ๆ ไปอุปมาเปรียบเทียบกับรูปธรรมที่เป็นเรื่องใกล้ตัวและพบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน วิธีวิเคราะห์แยกแยะจะทำให้เข้าใจปัญหาที่ว่าความจริงคืออะไร วิธีสังเคราะห์จะทำให้เข้าใจปัญหาที่ว่าบัญญัติคืออะไร ส่วนวิธีอุปมาเปรียบเทียบถือว่าเป็นตัวเสริมที่ช่วยทำให้เข้าใจเรื่องบัญญัติและความจริงได้ง่ายยิ่งขึ้น
พระเจ้ามิลินท์เริ่มต้นด้วยการถามชื่อก่อนว่า พระผู้เป็นเจ้าชื่ออะไร การที่พระองค์ทรงเริ่มต้นด้วยการถามชื่อก่อน ทรงให้เหตุผลว่าตามธรรมดาคนที่จะสนทนากันจะต้องรู้จักชื่อและโคตรของกันและกันเสียก่อนจึงจะสนทนาได้ ความจริงคำถามของพระเจ้ามิลินท์ตรงนี้ไม่น่าจะมาจากการอยากรู้จักชื่อของพระนาคเสนจริง ๆ อย่างที่พระองค์ให้เหตุผล เพราะก่อนที่จะมาสนทนากัน พระองค์ได้รับการกราบทูลให้ทราบข่าวเกี่ยวกับพระนาคเสนมาแล้วอย่างน้อย 2 ครั้ง คือครั้งแรกอำมาตย์ได้กราบทูลให้ทรงทราบถึงคำล่ำลือเกี่ยวกับเกียรติคุณของพระนาคเสนว่าเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถมากอย่างไร ครั้งที่ 2 พระองค์ได้ทอดพระเนตรพระนาคเสนกับภิกษุบริวาร แปดหมื่นรูปกำลังนั่งประชุมกันในที่แห่งหนึ่ง แต่ยังไม่มีโอกาสสนทนากัน ดังนั้น การถามชื่อคู่สนทนาจึงน่าจะเป็นมารยาทอย่างหนึ่งของการสนทนา และน่าจะเป็นคำถามนำร่องเพื่อปูทางไปสู่ประเด็นเรื่องอนัตตาที่พระองค์ต้องการจะโต้แย้ง พระนาคเสนตอบคำถามนี้ว่า ขอถวายพระพร เพื่อนพรหมจรรย์เรียกอาตมภาพว่า นาคเสน ส่วนมารดาบิดาเรียกอาตมภาพว่า นาคเสนก็ดี วีรเสนก็ดี สุรเสนก็ดี สีหเสนก็ดี ก็แต่ว่าชื่อที่เพื่อนพรหมจรรย์เรียกอาตมภาพว่านาคเสนนี้ เพียงแต่เป็นบัญญัติขึ้น เพื่อให้เข้าใจกันได้เท่านั้น ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนผู้ใดจะอยู่ในชื่อนั้น ข้อความในคำตอบของพระนาคเสนตรงนี้มี 2 ประเด็นคือ
- เรื่องบัญญัติ (concept)
- เรื่องความจริง (reality)
คำตอบที่บอกว่าตนเองชื่อนาคเสนเป็นข้อความประเภทบัญญัติ ส่วนคำตอบที่บอกว่า ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนอยู่ในชื่อนั้น เป็นข้อความประเภทความจริง คำตอบของพระนาคเสนเป็นคำตอบที่เกินเลยคำถาม ถ้าพระนาคเสนตอบเพียงว่าตนเองชื่ออะไร พระเจ้ามิลินท์คงไม่ได้ติดใจอะไร แต่แทนที่จะตอบเพียงว่าตนเองชื่ออะไร ท่านกลับก้าวลึกลงไปถึงปัญหาความจริงระดับอภิปรัชญาที่อยู่เบื้องหลังบัญญัตินั้น มาถึงตรงนี้จุดสนใจของผู้ถามและผู้ตอบจึงมุ่งไปที่เรื่องความจริงที่อยู่เบื้องหลังบัญญัติว่าคืออะไร ดังได้กล่าวมาแล้วว่าว่าคำอธิบายของอินเดียโบราณได้ตอบคำถามนี้ชัดเจนว่าอาตมันหรือ ชีวาตมันเป็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังบัญญัติ ซึ่งคำอธิบายเช่นนี้ทั้งพระเจ้ามิลินท์ พระนาคเสนและคนในที่ประชุม ประมาณแปดหมื่นกว่าคนก็คงจะทราบดีอยู่แล้ว เมื่อพระนาคเสนเสนอขึ้นมาว่าไม่มีอัตตาอยู่เบื้องหลังชื่อนั้น ถือว่าเป็นการเปิดประเด็นปัญหาที่กำลังอยู่ในความสนใจของคนทั่วไป พระเจ้ามิลินท์ให้ความสำคัญกับปัญหานี้มาถึงกับตรัสเตือนชาวโยนก 500 คนและพระภิกษุอีก 80,000 รูป ให้ตระหนักในคำตอบของพระนาคเสนว่า ขอให้ชาวโยนกทั้ง 500 นี้กับพระภิกษุ อีกแปดหมื่นองค์นี้ จงฟังถ้อยคำของข้าพเจ้าเถิด พระนาคเสนนี้กล่าวว่าเพื่อนพรหมจรรย์เรียกอาตมภาพว่านาคเสน ก็แต่ว่าไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนอันใดอยู่ในคำท่านนาคเสนนั้น


