ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
ปัญหาเรื่องบัญญัติ กับความจริง
อนัตตามีปัญหาอย่างไร
วิธีพิสูจน์ความมีอยู่ของอัตตา
การตอบปัญหาของพระนาคเสน
ทฤษฎีความสืบเนื่อง
ทฤษฎีความสืบเนื่อง
ในการสนทนาเรื่อง ธรรมสันตติปัญหา(ปัญหาว่าด้วยความสืบเนื่องแห่งธรรม/ขันธ์ 5)
พระเจ้ามิลินท์ถามปัญหาว่า
คนที่เกิดมาในโลกนี้เขายังเป็นคนเดิมอยู่หรือว่ากลายเป็นคนอื่น
ท่านพระนาคเสนได้ตอบปัญหานี้ด้วยแนวคิดความสืบเนื่องแห่งธรรม ดังนี้
พระนาคเสน : พระคุณเจ้านาคเสน ผู้ใดเกิดขึ้น เขาจะเป็นผู้นั้น
หรือจะเป็นผู้อื่น
พระเจ้ามิลินท์ : จะเป็นผู้นั้นก็ไม่ใช่ จะเป็นผู้อื่นก็ไม่ใช่
พระนาคเสน : ขอถวายพระพร มหาบพิตร พระองค์จะทรงสำคัญความนั้นว่าอย่างไร
เปรียบเหมือนว่า พระองค์เคยเป็นเด็กอ่อนนอนแบมาแล้ว มาบัดนี้
พระองค์ผู้เคยทรงเป็นเด็กอ่อนนอนแบมาแล้วนั้นนั่นแหละ กลายเป็นผู้ใหญ่หรือไร
พระเจ้ามิลินท์ : หามิได้ พระคุณเจ้า เด็กอ่อนนอนแบนั้นก็เป็นคนหนึ่ง
ข้าพเจ้าผู้เป็นใหญ่ในบัดนี้ก็เป็นอีกคนหนึ่ง
พระนาคเสน : เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้ผู้ที่บุตรเรียกว่ามารดาก็จักไม่มี
แม้ผู้ที่บุตรเรียกว่าบิดาก็จักไม่มี
แม้ผู้ที่ศิษย์เรียกว่าอาจารย์ก็จักไม่มี
คนหนึ่งทำกรรมชั่วไว้
แต่อีกคนหนึ่งถูกตัดมือตัดเท้าหรือไรหนอ
พระนาคเสน : ขอถวายพระพร ประทีปในยามต้นเป็นดวงหนึ่ง
ประทีปในยามกลางก็เป็นอีกดวงหนึ่ง ประทีปในยามสุดท้ายก็เป็นอีกดวงหนึ่งหรือไร
พระเจ้ามิลินท์ : หามิได้ พระคุณเจ้า
ประทีปที่อาศัยประทีปนั้นนั่นแหละสว่างไปแล้วจนตลอดรุ่ง
พระนาคเสน : ข้อนั้นฉันใด ความสืบต่อแห่งสภาวธรรม ก็สืบต่อกันฉันนั้นนั่นแหละ
สภาวะอันหนึ่งเกิดขึ้น สภาวะอันหนึ่งดับไป เหมือนกะสืบต่อพร้อม ๆ กัน เพราะเหตุนั้น
ผู้ที่เกิดขึ้นจึงได้ชื่อว่าจะเป็นผู้นั้นก็ไม่ใช่ จะเป็นผู้อื่นก็ไม่ใช่
ผู้มีวิญญาณดวงหลัง ย่อมถึงความรวมกันเข้าในผู้มีวิญญาณดวงก่อน ๆ
นอกจากนั้น ในการสนทนาเรื่อง นามรูปเอกัตตานัตตปัญหา
พระเจ้ามิลินท์ถามว่า บุคคล(นามรูป)ที่ละจากโลกนี้ไปแล้วไปเกิด
(ปฏิสนธิ)ในภพหน้าเป็นตัวตนคนเดียวกัน (เอกัตตะ/Identity) หรือเป็นตัวตนต่างกัน
(นานัตตะ/plurality) แยกกันเด็ดขาด
และพระนาคเสนได้ตอบปัญหานี้ด้วยแนวคิดความสืบเนื่องแห่งธรรมหรือขันธ์ 5
(ธัมมสันตติ) ดังต่อไปนี้
พระเจ้ามิลินท์ : พระคุณเจ้านาคเสน ใครปฏิสนธิ
พระนาคเสน :
ขอถวายพระพร มหาบพิตร นามรูปแลปฏิสนธิ
พระเจ้ามิลินท์ : นามรูปนี้นี่แหละหรือ ปฏิสนธิ
พระนาคเสน : ขอถวายพระพร
หาใช่นามรูปนี้นี่แหละปฏิสนธิไม่ บุคคลย่อมทำกรรมดีบ้าง ชั่วบ้าง ด้วยนามรูปนี้
นามรูปอื่นจึงปฏิสนธิเพราะกรรมนั้น
พระเจ้ามิลินท์ : พระคุณเจ้า หากว่านามรูปนี้นี่แหละมิได้ปฏิสนธิไซร้
บุคคลผู้นั้นก็จักเป็นผู้พ้นจากกรรมชั่วทั้งหลายได้ มิใช่หรือ
พระนาคเสน : ถ้าหากนามรูปไม่อาจปฏิสนธิได้ไซร้
เขาก็พึงเป็นผู้พ้นจากกรรมชั่วทั้งหลาย ขอถวายพระพร
แต่เพราะเหตุที่นามรูปย่อมปฏิสนธิ เพราะเหตุนั้น
เขาก็ไม่อาจเป็นผู้พ้นจากกรรมชั่วทั้งหลายได้
นามรูปก่อนตายก็เป็นส่วนหนึ่ง
นามรูปในคราวปฏิสนธิก็เป็นส่วนหนึ่งก็จริงอยู่ แต่ทว่านามรูปในคราวปฏิสนธินั้น
ก็บังเกิดจากนามรูปก่อนตายนั่นแหละ เพราะฉะนั้น
จึงไม่อาจเป็นผู้พ้นจากกรรมชั่วทั้งหลายได้
พระเจ้ามิลินท์ : ขอท่านจงกระทำอุปมา
พระนาคเสน : ขอถวายพระพร
เปรียบเหมือนว่าบุรุษคนหนึ่งขโมยผลมะม่วงของบุรุษคนหนึ่งไป
บุรุษผู้เป็นเจ้าของมะม่วงจึงจับเอาบุรุษคนนั้นไปเฝ้าพระราชา กราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเป็นเทพ นายคนนี้ขโมยผลมะม่วงของข้าพระองค์ พระเจ้าข้า
บุรุษผู้ขโมยมะม่วงนั้นจึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเป็นเทพ
ข้าพระองค์มิได้ขโมยมะม่วงของนายคนนี้ ผลมะม่วงที่นายคนนี้เพาะปลูก
เป็นผลมะม่วงอื่นผลมะม่วงที่ข้าพระองค์เก็บมาเป็นผลมะม่วงอื่นอีกต่างหาก
ข้าพระองค์ไม่น่าเป็นผู้ต้องรับโทษ พระเจ้าข้า ดังนี้ ขอถวายพระพร
บุรุษผู้ขโมยผลมะม่วงนั้น พึงเป็นผู้ต้องรับโทษหรือไรหรือหนอ
พระเจ้ามิลินท์ : บุรุษผู้ขโมยมะม่วงนั้น
อาจกล่าวอย่างนี้ได้ก็จริงอยู่ พระคุณเจ้า
บุรุษผู้นั้นบอกปัดผลมะม่วงผลก่อนมิได้หรอก พึงเป็นผู้ต้องรับโทษเพราะมะม่วงผลหลัง
พระนาคเสน : ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ฉันนั้นเหมือนกัน
บุคคลย่อมทำกรรมดีบ้าง ชั่วบ้าง ด้วยนามรูปนี้ นามรูปอื่นจึงปฏิสนธิเพราะกรรมนั้น
เพราะฉะนั้น จึงไม่อาจเป็นผู้พ้นจากกรรมชั่วทั้งหลายได้
กล่าวโดยสรุป แนวคิดเรื่องกรรมกับอนัตตาในทัศนะของพระนาคเสน
ไม่ได้มีปัญหาในการอธิบายเรื่องความรับผิดชอบทางศีลธรรมแต่อย่างใด
เพราะคำว่าอนัตตาไม่ได้หมายความว่าไม่มีอะไรเลย
หรือไม่มีผู้รับชอบทางศีลธรรมอย่างที่พระเจ้ามิลินท์เข้าใจ
อนัตตาเป็นเพียงแนวคิดที่ปฏิเสธอัตตาหรือตัวตนที่แท้ถาวรในฐานะผู้ทำกรรมและผู้รับผลกรรมเท่านั้นเอง
แนวคิดที่พระนาคเสนนำมาสนับสนุนข้อเสนอของท่านคือ แนวคิดแบบ วิภัชชวาที
ซึ่งแนวคิดสำคัญของพระพุทธศาสนา คือ การแยกแยะขันธ์ 5 ออกเป็นองค์ประกอบย่อย ๆ
เพื่อให้เห็นความไม่มีตัวตนในขันธ์ 5 นั้น
อัตตาเป็นเพียงชื่อที่เราสมมติขึ้นเรียกการรวมตัวกันของขันธ์ 5 เท่านั้น
และอีกแนวคิดหนึ่งที่ท่านพยายามยกขึ้นมาเป็นฐานในการตอบปัญหาเรื่องอนัตตากับผู้ทำกรรมและผู้รับผลกรรม
คือ แนวคิดแบบ ธัมมสันตติ คือแนวคิดเรื่องความสืบเนื่องของนามรูปหรือขันธ์ 5
แนวคิดนี้หมายความว่า บุคคลทั้งในฐานะผู้ทำกรรมและผู้รับผลกรรม
ล้วนแต่อยู่ในรูปของกระแสแห่งเหตุปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
ในกระแสธารแห่งความเปลี่ยนแปลงนี้
ไม่มีอัตตาที่ยืนโรงอยู่อย่างเที่ยงแท้เป็นผู้ทำกรรมและผู้รับผลกรรม กล่าวคือ
ทั้งผู้ทำกรรมและผู้รับผลกรรม ล้วนแต่ทำและรับในรูปของกระแสสืบเนื่องทั้งสิ้น
ถ้าหากประเมินการสนทนากันระหว่างพระเจ้ามิลินท์กับพระนาคเสนเฉพาะในส่วนของนามปัญหา
ผู้เขียนมองว่า พระเจ้ามิลินท์ได้เสนอประเด็นปัญหาหลายเรื่องได้อย่างน่าสนใจ เช่น
ปัญหาเรื่องบัญญัติกับความจริงที่อยู่เบื้องหลังบัญญัติ
ปัญหาเรื่องอนัตตากับการทำกรรมและการรับผลของกรรม
ปัญหาเรื่องอนัตตาแตกต่างอย่างไรกับอุจเฉททิฏฐิ
รวมทั้งการเสนอวิธีพิสูจน์ความมีอยู่อัตตา ในส่วนของพระนาคเสนก็เช่นเดียวกัน
ดูเหมือนว่าการตอบปัญหาของท่านทั้งหมดจะมุ่งตอบเฉพาะประเด็นปัญหาเรื่องบัญญัติ
(สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา) กับความจริงที่อยู่เบื้องหลังบัญญัติ (อนัตตา/ขันธ์ 5)
แม้การอุปมาเปรียบเทียบบัญญัติกับคำว่า รถ
และเปรียบเทียบความจริงกับส่วนประกอบต่าง ๆ ของรถ
ก็เป็นส่วนของความพยายามที่จะอธิบายความหมายของบัญญัติและความจริงเท่านั้น
ส่วนประเด็นปัญหาที่เกิดจากการเสนอคำอธิบายแบบนี้ เช่น
เมื่อเสนอว่าไม่มีอัตตาแล้วจะอธิบายประเด็นเรื่องผู้ทำและผู้รับผลของกรรมอย่างไร
ดูเหมือนว่าท่านพระนาคเสนจะยังไม่ได้ตอบปัญหานี้
อย่างไรก็ตาม การที่พระนาคเสนไม่ได้ตอบปัญหาทุกประเด็นไว้ในปัญหาข้อแรก
อาจจะเป็นเพราะท่านมองว่าเป็นประเด็นที่ไม่เกี่ยวกับการสนทนาครั้งนี้
จึงได้ยกยอดไปตอบในการสนทนาครั้งต่อ ๆ ไป ดังจะเห็นได้ในการสนทนาเรื่องธัมมสันตติ
และเรื่องการถือปฏิสนธิของนามรูป เป็นต้น ท่านได้ใช้แนวคิดเรื่อง ธรรมสันตติ
สำหรับตอบปัญหานี้ แนวคิดนี้มองว่า แม้ในขันธ์ 5 หรือนามรูปของเราจะไม่มีอัตตา
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอะไรเป็นผู้ทำกรรมและผู้รับผิดชอบต่อผลกรรม
นามรูปของเราที่อยู่ในรูปกระแสความสืบเนื่องแห่งเหตุปัจจัยนี้เองเป็นผู้ทำกรรมและเป็นผู้รับผลกรรม
เราในฐานะผู้ทำกรรมในวันนี้กับเราในฐานะผู้รับผลกรรมในวันข้างหน้า
จะบอกว่าเป็นคนเดียวกันก็ไม่ใช่ จะบอกว่าเป็นคนอื่นก็ไม่ใช่ ดังนั้น
จุดยืนในการตอบปัญหาของพระนาคเสนอคือ อนัตตวาท
ในฐานะเป็นแนวคิดทางสายกลางระหว่างทัศนะสุดโต่ง 2 ด้าน คือ เอกัตตวาท
(ตัวตนเดียวกัน) กับ นานัตตวาท (ตัวตนต่างกัน)
โดยใช้หลักความสืบเนื่องแห่งเหตุปัจจัย(ธัมมสันตติ)
เป็นฐานในการตอบปัญหาเรื่องผู้ทำกรรมและผู้รับผลกรรม


