ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
กรรมกับอนัตตาในพระพุทธศาสนา
โดย พระมหาสมบูรณ์ วุฑฺฒิกโร (พรรณา) บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
แนวคิดเรื่อง อัตตา หรือ อาตมัน
เป็นแนวความคิดกระแสหลักที่สำนักปรัชญาอินเดียโบราณเกือบทุกสำนักยอมรับมาเป็นเวลานาน
โดยเฉพาะสำนักปรัชญาที่ยอมรับคัมภีร์พระเวท
เหตุผลอาจจะเนื่องมาจากว่าแนวคิดนี้สามารถตอบปัญหาข้อสงสัยหลัก ๆ ของมนุษย์ได้ เช่น
ปัญหาเรื่องชีวิตหลังความตาย การเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ
หรือผู้ทำกรรมและผู้รับผลกรรม
นักคิดอินเดียโบราณมีความเห็นร่วมกันอย่างหนึ่งว่าชีวิตร่างกายของเราเป็นของไม่เที่ยงแท้แน่นอน
มีความเปลี่ยนแปลงอยู่อย่างต่อเนื่องและจะต้องแตกสลายไปในที่สุด
แต่ในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงนี้
มีบางสิ่งที่เที่ยงแท้ถาวรอยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์นั้น
บางสิ่งที่ว่านี้นักคิดแต่ละสำนักมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป เช่น อัตตา อาตมัน
ชีวาตมัน สัตว์ บุคคล หรือ ชีวะ
คำเรียกเหล่านี้บ่งถึงแก่นแท้อันเป็นศูนย์กลางชีวิตที่อยู่เบื้องหลังการทำ
กรรมดีกรรมชั่วของบุคคล เป็นผู้ที่คอยรับผลกรรมดีกรรมชั่วทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
เป็นผู้ที่ท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏ
แม้การที่จะเข้าถึงอุดมคติสูงสุดของชีวิต
ก็เป็นหน้าที่ของสิ่งนี้เองที่จะต้องพัฒนาตนเองจนสามารถกำจัดอวิทยาได้หมดไปแล้วบรรลุถึงอุดมคตินั้น
ในทัศนะของนักคิดเหล่านี้
ระบบปรัชญาใดก็ตามที่เสนอแนวคิดทางจริยศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องความดี/ความชั่ว
การเวียนว่ายตายเกิด หรือชีวิตในอุดมคติ เป็นต้น
โดยไม่ได้ตั้งอยู่บนฐานของการยอมรับความจริงทางอภิปรัชญาเกี่ยวกับอัตตา
ต้องถือว่าเป็นระบบจริยศาสตร์ที่ตั้งอยู่บนความว่างเปล่าหรือไม่มีความจริงเป็นฐานรองรับนั่นเอง
พุทธปรัชญามีแนวคิดบางอย่างร่วมกันกับปรัชญาอินเดียสำนักอื่น ๆ เช่น
แนวคิดเรื่องกรรม เรื่องความทุกข์
และความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของชีวิตที่ท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏ
แต่แนวคิดที่ถือว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตนที่ทำให้พุทธปรัชญาแตกต่างจากปรัชญาอินเดียสำนักอื่น
คือ
ไม่เชื่อว่ามีอัตตาหรือตัวตนอันเป็นแก่นแท้ของชีวิตที่อยู่เบื้องหลังความเปลี่ยนแปลง
คำว่า อัตตา เป็นบัญญัติหรือ มโนทัศน์ (Concept) ที่มนุษย์สมมติกันขึ้นมาเท่านั้น
นี้คือแนวคิดแปลกใหม่ที่เดินสวนกระแสแนวคิดแบบจารีตประเพณีอย่างสิ้นเชิง
และขัดแย้งกับสามัญสำนึกของคนทั่วไปเกินกว่าที่จะยอมรับได้
ทันทีที่แนวคิดนี้ถูกเสนอขึ้นมา ทั้งคำถามและข้อสงสัยต่าง ๆ
ได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่สมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน เช่น
กรรมกับอนัตตาขัดแย้งกันเองหรือไม่
ถ้าไม่ยอมรับเรื่องอัตตาจะตอบปัญหาเรื่องกรรมและการเวียนว่ายตายเกิดได้อย่างไร
ถ้าไม่มีอัตตาเสียแล้วใครเป็นผู้กระทำกรรมและใครเป็นผู้รับผลแห่งกรรม
หรือใครเป็นผู้ปฏิบัติธรรมและใครเป็นผู้บรรลุธรรม
หรือเป็นไปได้อย่างไรที่ยอมรับหลักกรรมแต่ปฏิเสธตัวผู้ทำกรรม ในพระไตรปิฎก
มีข้อความหลายแห่งที่สะท้อนให้เห็นความรู้สึกขัดแย้งในสามัญสำนึกของผู้ที่เข้ามาถามปัญหาพระพุทธเจ้า
เช่น คำถามของภิกษุรูปหนึ่งที่ว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ได้ยินว่ารูปเป็นอนัตตา
เวทนาเป็นอนัตตา สัญญาเป็นอนัตตา สังขารเป็นอนัตตา วิญญาณเป็นอนัตตา เพราะเหตุนั้น
กรรมทั้งหลายที่อนัตตาทำจักถูกต้องอัตตาได้อย่างไร
นี้อาจจะเป็นโจทย์ข้อสำคัญที่สุดที่ทำให้ชาวพุทธยุคหลังพุทธกาลพยายามหาทางตอบมาตลอดประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา
นักวิชาการหลายท่านมองว่า
วรรณกรรมสายพระอภิธรรมที่เสนอคำสอนแบบสุขุมลุ่มลึกในเชิงวิชาการจะเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะหาทางออกให้กับปัญหาดังกล่าวนี้
นอกจากนั้น
ความพยายามที่จะตอบปัญหานี้น่าจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้วงการคณะสงฆ์ในสมัยหลังพุทธกาลแตกออกเป็นนิกายต่าง
ๆ ดังจะเห็นได้ว่า ในคัมภีร์กถาวัตถุ
พระโมคคัลลีบุตรได้ให้ความสำคัญกับปัญหาเรื่องอัตตา/อนัตตาจนถึงขนาดต้องจัดหัวข้อเรื่อง
ปุคฺคลกถา ไว้เป็นลำดับที่หนึ่ง
ในกถานี้ได้กล่าวถึงคณะสงฆ์กลุ่มหนึ่งชื่อว่าปุคคลวาท
ว่าเป็นนิกายที่ยอมรับความมีอยู่บุคคล (individuality) กลุ่มนิกายนี้ยอมรับว่าขันธ์
5 มีความเปลี่ยนแปลง แต่ในท่ามกลางความเปลี่ยนนั้นมีนสิ่งที่เรียกว่า บุคคล
เป็นฐานรองรับอยู่ บุคคลนี้ไม่ใช่ขันธ์ 5 ในขณะเดียวกันก็ไม่เป็นอื่นจากขันธ์ 5
และบุคคลนี้เองที่จะไปเกิดใหม่เมื่อละโลกนี้ไปแล้วอีกนิกายหนึ่งได้แก่นิกายสัพพัตถิกวาท
แม้จะมีแนวคิดร่วมกับคณะสงฆ์นิกายอื่น ๆ
ที่ยอมรับว่าสิ่งทั้งปวงมีความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
แต่ในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงนี้มีบางสิ่งคงอยู่ตลอดทั้งสามคือ อดีต ปัจจุบัน
และอนาคต สิ่งที่คงอยู่นี้คือ ความเป็นรูป (รูปภาวะ) ความเป็นเวทนา (เวทนาภาวะ)
ความเป็นสัญญา (สัญญาภาวะ) ความเป็นสังขาร (สังขารภาวะ) และ ความเป็นวิญญาณ
(วิญญาณภาวะ) ถามว่า นิกายปุคคลวาทจึงยอมรับแนวคิดบุคคล
และทำไมนิกายสัพพัตถิกวาทจึงยอมรับความคงอยู่ตลอดกาลทั้งสามของสิ่งทั้งปวง
เป็นไปได้หรือไม่ว่านิกายเหล่านี้ไม่พอใจเหตุผลสนับสนุนการอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างกรรมกับอนัตตาเท่าที่ยอมรับกันในยุคนั้น
จึงได้เสนอเหตุผลใหม่โดยยกเอาสิ่งที่เรียกว่า บุคคล หรือ ภาวะ
ที่อยู่เบื้องหลังความเปลี่ยนแปลงของขันธ์ 5
มาเป็นฐานในการตอบปัญหาเรื่องกรรมกับอนัตตา
มิลินทปัญหาเป็นวรรณกรรมที่เกิดหลังพุทธกาลประมาณ พ.ศ. 500
เนื้อหาของวรรณกรรมชิ้นนี้สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาเรื่องกรรมกับอนัตตายังคงเป็นปัญหาที่สังคมยุคนั้นให้ความสำคัญเป็นลำดับต้น
ๆ ของปัญหาทั้งหลาย
วรรณกรรมชิ้นนี้ได้ยกเอาปัญหานี้ขึ้นมาอยู่ในลำดับแรกเช่นเดียวกับคัมภีร์กถาวัตถุ
ตรงนี้สะท้อนให้เห็นว่าความพยายามในการตอบปัญหาเรื่องกรรมกับอนัตตาเท่าที่ทำมาตลอด
500 ปีนั้น
ยังไม่เป็นที่น่าพอใจและไม่สามรถแก้ข้อสงสัยของผู้คนในสังคมได้ทุกประเด็น
พระเจ้ามิลินท์คือตัวแทนของคนยุคนั้นที่ยังมีข้อสงสัยในแนวคิดเรื่องอนัตตาของพระพุทธศาสนา
ในขณะที่พระนาคเสนคือตัวแทนของคณะสงฆ์ในยุคหลังพุทธกาล
ที่พยายามหาคำอธิบายหรือเหตุผลสนับสนุนความสอดคล้องกันระหว่างแนวคิดเรื่อง กรรม
กับ อนัตตา ของพระพุทธศาสนา
ในงานเขียนชิ้นนี้
ผู้เขียนจะจำกัดขอบเขตการอภิปรายเฉพาะประเด็นปัญหาเรื่องกรรมกับอนัตตาในมิลินทปัญหาเท่านั้น
เพื่อที่จะตอบปัญหาว่า พระเจ้ามิลินท์ใช้เหตุผลอะไรในการโต้แย้ง (Arguments)
แนวคิดเรื่อง กรรม กับ อนัตตา ของพระพุทธศาสนา
และพระนาคเสนได้ใช้เหตุผลอะไรในการแก้ข้อโต้แย้งดังกล่าวนั้น
ปัญหาเรื่องบัญญัติ กับความจริง
อนัตตามีปัญหาอย่างไร
วิธีพิสูจน์ความมีอยู่ของอัตตา
การตอบปัญหาของพระนาคเสน
ทฤษฎีความสืบเนื่อง
บรรณานุกรม
- มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาเตปิฏกํ 2500. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2535.
- --------------. พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2538.
- --------------. มิลินฺทปญฺหปกรณํ. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์วิญญาณ, 2540.
- ปุ้ย แสงฉาย, มิลินทปัญหา ฉบับพร้อมด้วยอรรถกถา ฎีกา. กรุงเทพมหานคร : สำนักงานลูก ส.ธรรมภักดี, 2528.
- สมภาร พรมทา. คือความว่างเปล่า. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์พุทธชาด, 2539.
ภาษาอังกฤษ - Caygill, Howard. A Kant Dictionary Cambridge: Blackwell Publishers Ltd., 1996.
- Davids, Rhys T.W. The Question of King Milinda. Delhi: Motilal Banarsidass Publishers, 1975.
- Dutt, Nalinaksha. Buddhist Sects in India (Delhi: Montilal Banarasidass, 1989.