ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
มหายานกับอุดมการณ์พระโพธิสัตว์
ปรัชญาปารมิตา : อภิปรัชญาของมหายาน
พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ในมหายาน
การตั้งโพธิจิต : หัวใจของอุดมการณ์พระโพธิสัตว์
อุดมการณ์พระโพธิสัตว์เป็นจริยธรรมเชิงบวก
บารมี 6 : จริยศาสตร์ภาคปฏิบัติการของพระโพธิสัตว์
บรรณานุกรม
อุดมการณ์พระโพธิสัตว์เป็นจริยธรรมเชิงบวก
จากหลัก โพธิจิต ของมหายาน แสดงว่า ปัญญา(ปรัชญา) และ กรุณา
จะเป็นคุณสมบัติควบคู่กันเสมอของพระโพธิสัตว์ ดังที่ ซูซูกิ กล่าวว่า
สิ่งที่ทำให้มหายานยืนบน 2 ขาได้อย่างมั่นคงคือ ปรัชญา และ กรุณา
หรือความรู้ที่มุ่งสู่โลกุตตรภาพ และความรักที่มีต่อสรรพสิ่ง
ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต (Suzuki, 1973 : 292)
การตรัสรู้ (ปัญญา) ย่อมหมายถึงต้องการให้ผู้อื่นหรือสัตว์อื่นพ้นทุกข์
(กรุณา) คู่กัน พระโพธิสัตว์จึงเป็นบุคคลอุดมคติที่ควรยึดถือเป็นแบบอย่าง
หากประสงค์จะหลุดพ้นจากทุกข์ การเน้นความกรุณา
นับเป็นมิติใหม่ของพระพุทธศาสนาในสมัยนั้น
เป็นการสอนว่าชาวพุทธไม่ควรมุ่งแต่ความหลุดพ้นส่วนตัว
แต่ต้องอุทิศตนเองเพื่อผู้อื่นด้วย คำสอนเช่นนี้ทำให้เกิดจิตสำนึกและค่านิยมใหม่ว่า
การหลุดพ้นเฉพาะตัวไม่มีประโยชน์อะไรหากไม่ช่วยผู้อื่นให้หลุดพ้นตาม
ที่จริงเถรวาทก็ใช่ว่าจะสอนให้คนเห็นแก่ตัว
เพียงแต่ว่าการจะช่วยเหลือผู้อื่นได้นั้น คน ๆ นั้นต้องช่วยเหลือตนเองได้ก่อน
เช่นเดียวกับการสอนคนให้ว่ายน้ำ ผู้สอนต้องว่ายน้ำเป็นก่อน จึงจะสอนผู้อื่นได้
ดังพระพุทธพจน์ในคาถาพระธรรมบท ดังนี้
บุคคลพึงยังตนนั้นแลให้ตั้งอยู่ในคุณอันสมควรเสียก่อน
พึงพร่ำสอนผู้อื่นในภายหลัง บัณฑิตพึงไม่เศร้าหมอง (พระไตรปิฎกภาษาไทย
ฉบับสังคายนา, เล่มที่ 25, 2530 : 52)
สำหรับมหายานแล้ว แนวคิดเรื่องพระโพธิสัตว์ แสดงให้เห็นว่า
การช่วยเหลือผู้อื่นต้องมาอันดับแรกจนถึงกับกล่าวว่า พระโพธิสัตว์แม้จะต้องรับทุกข์
รับโทษทัณฑ์หรือกระทั่งยอมตกนรกเพื่อประโยชน์สุขของสรรพสัตว์ก็ต้องทำ
การเน้นจริยธรรมเชิงบวกเช่นนี้ เป็นลักษณะเด่นของมหายาน
แนวคิดนี้มาจากโลกทัศน์ที่มีต่อความสัมพันธ์ระหว่าง จิต กับ วัตถุ ของมหายาน
แตกต่างจากเถรวาท เถรวาทได้แยก 2 สิ่งนี้ออกจากกันอย่างชัดเจน
เพราะเห็นว่าวัตถุเป็นสาเหตุแห่งความเศร้าหมองของจิต
เมื่อจิตถูกครอบงำด้วยวัตถุย่อมเป็นที่แน่ใจได้ว่า คน ๆ
นั้นย่อมไม่ก้าวหน้าในจริยธรรม
แต่ละคนต้องควบคุมจิตใจของตนไม่ให้มีอุปาทานติดยึดในวัตถุให้มากที่สุด ฉะนั้น
จริยธรรมของเถรวาทจึงเป็นแบบปฏิเสธ เช่น ไม่พูดปด ไม่ลักทรัพย์ ไม่มอง ไม่ฟัง
และไม่ปล่อยใจไปตามอำนาจของตัณหา เป็นต้น แต่มหายานเห็นว่า วัตถุมาจากจิต
โลกเป็นผลิตผลของจิต อกุศลกรรมหรือการกระทำที่เป็นอกุศลก็ย่อมมาจากจิตเช่นกัน
จริยธรรมเชิงลบแบบเถรวาทไม่เพียงพอสำหรับถอนรากอกุศลจิต
แต่ต้องเผชิญกับโลกหรือวัตถุอย่างซึ่ง ๆ หน้า
จึงจะสามารถกำจัดความทุกข์ในสังสารวัฏได้ มหายานเชื่อใน ตถาคตครรภ์
หรือพุทธภาวะว่าเป็นธาตุพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด
แต่เนื่องจากถูกห่อหุ้มด้วยกิเลส จึงหลงผิดไม่เข้าใจในพุทธภาวะนี้
เมื่อตระหนักในพุทธภาวะและทำลายสังสารวัฏเสียได้ ภาวะนิพพานจึงบังเกิดขึ้น
นิพพานกับสังสารวัฏจึงสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด
จนกล่าวได้ว่านิพพานพบได้ในสังสารวัฏนั่นเอง สมดังที่
นาคารชุนกล่าวไว้ในมูลมาธยามการิกา ของท่านดังนี้
สังสารวัฏไม่ใช่สิ่งอื่นใดที่อยู่นอกเหนือไปจากนิพพาน
และนิพพานก็ไม่ใช่สิ่งอื่นใดที่อยู่นอกเหนือไปจากสังสารวัฏ (M³lamadhyamak±rik±,
1999 : XXV.19)
ฉะนั้น หากนิพพานคือความว่างเปล่า (non-emptiness) สังสารวัฏก็คือความเต็ม
(emptiness) ความว่างเปล่าจะมีได้ก็เพราะมีความเต็มก่อน หากไม่มีความเต็มก่อน
ภาวะว่างเปล่าจะมีได้อย่างไร ความว่างเปล่าและความเต็มจึงอยู่ด้วยกัน
เหมือนสองด้านของเหรียญเดียวกัน มหายานเชื่อว่า อาศัยจริยธรรมเชิงบวกเช่นนี้
จะทำให้จิตใจเข้มแข็ง จนสามารถต่อกรกับโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ