ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>

พระเจ้าสิบชาติ

พระเตมีย์  ผู้ทรงบำเพ็ญเนกขัมมบารมี
พระมหาชนก ผู้ทรงบำเพ็ญวิริยบารมี
สุวรรณสาม ผู้บำเพ็ญเมตตาบารมี
พระเนมิราช ผู้ทรงบำเพ็ญอธิษฐานบารมี
มโหสถบัณฑิต ผู้ทรงบำเพ็ญปัญญาบารมี
พระภูริทัต ผู้ทรงบำเพ็ญศีลบารมี
พระจันทกุมาร ผู้ทรงบำเพ็ญขันติบารมี
พระมหานารทกัสสปะ ผู้ทรงบำเพ็ญอุเบกขาบารมี
วิธุรบัณฑิต ผู้บำเพ็ญสัจบารมี
พระเวสสันดร ผู้ทรงบำเพ็ญทานบารมี

 

พระภูริทัต ผู้ทรงบำเพ็ญศีลบารมี

phuritad.jpg (30643 bytes)

หน้า1    หน้า2 

             พระภูริทัตเป็นโอรสองค์ที่ 2 ใน 4 พระองค์ของท้าวธตรฐ กับพระนางสมุททชา ในนาคบุรี พระภูริทัตโพธิสัตว์นั้น ทรงมีพระปรีชาสามารถมาก เคยเสด็จไปพิภพดาวดึงส์กับพระบิดา ทรงเข้าสู่ที่ประชุม ของชาวสวรรค์ชั้นไตรทศ ทรงสามารถตอบปัญหาที่ใครๆ ตอบไม่ได้ จนท้าวสักกเทวราชทรงยกย่องชื่นชม และทรงบูชาพระโพธิสัตว์ด้วยดอกไม้ และของหอมอันเป็นทิพย์ แล้วตรัสว่า  " พ่อทัตตะ เจ้าเป็นผู้ประกอบด้วยปัญญา อันไพบูลย์ประดุจดังแผ่นดิน ตั้งแต่นี้ไป เจ้าจงชื่อว่า ภูริทัต เถิด "   พระภูริทัตทรงปรารถนาเทพสมบัติ ในพิภพดาวดึงส์ จึงทูลลาพระบิดา และพระมารดา เสด็จไปทรงรักษาศีลอุโบสถ เป็นประจำในนาคพิภพนั้น ต่อมาได้เสด็จ ไปรักษาศีลอุโบสถบนจอมปลวก ใกล้ต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง ณ ริมฝั่งแม่น้ำยมุนาในมนุษยโลก โดยมีนางนาคกัญญา 10 นาง มาขับกล่อมแล้วบูชาด้วยของหอม และดอกไม้ทุกเช้า ทรงอธิษฐานศีลอุโบสถอันประกอบด้วยองค์ 4 คือ  " ผู้ใดปรารถนา หนัง เอ็น กระดูก หรือเลือด ผู้นั้นจงมานำเอาไป "
               ในกาลนั้น มีพราหมณ์ผู้มีอาชีพเป็นนายพรานคนหนึ่ง ได้เข้าป่าหาเนื้อพร้อมกับบุตรชาย ชื่อโสมทัต พากันเดินมาทางจอมปลวก ที่พระโพธิสัตว์นอนอยู่ เห็นรอยเท้าเนื้อลงไปดื่มน้ำ จึงแอบอยู่แถวนั้น ตกตอนเย็นเนื้อตัวหนึ่งมาเพื่อดื่มน้ำ พราหมณ์จึงยิงเนื้อนั้นด้วยธนู ครั้นมืดค่ำ จึงพากันจึงพากัน ขึ้นไปนอนบนต้นไทรนั้น เวลาใกล้รุ่งพราหมณ์ตื่นขึ้น ได้เห็นนางนาคกัญญา พากันขับร้องประโคมดนตรี แวดล้อมชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่ง ซึ่งนั่งอยู่บนจอมปลวก มีความสงสัยจะใคร่รู้ จึงลงจากต้นไม้เข้าไปไต่ถาม พระโพธิสัตว์ทรงตอบว่า พระองค์คือนาคผู้มีฤทธิ์ มาจากนาคพิภพ พระบิดาพระนามว่า ท้าวธตรฐ พระมารดาพระนามว่า พระนางสมุททชา เป็นน้องของสุทัสสนะ คนทั้งหลายเรียกพระองค์ว่า ภูริทัต พระโพธิสัตว์เกรงว่าพราหมณ์ผู้นั้น จะทำลายการรักษาอุโบสถศีลของพระองค์ จึงทรงพาพราหมณ์ และบุตรไปเสวยสุขสมบัติในนาคพิภพ ทรงมอบนางนาคกัญญา ให้คอยปรนนิบัติรับใช้คนละ 400 นาง
               พราหมณ์นั้นอยู่ในนาคพิภพ เป็นเวลาหนึ่งปี ก็มีความเบื่อหน่าย จึงลาพระโพธิสัตว์ พาบุตรกลับบ้าน ซึ่งพระโพธิสัตว์ก็ทรงให้นาคมานพ ไปส่งยังโลกมนุษย์ พราหมณ์นั้นเป็นคน ไม่รู้จักบุญคุณคน ในกาลต่อมา จึงพาพราหมณ์อาลัมพายน์ผู้เป็นหมองู มาจับพระโพธิสัตว์ เพื่อแลกกับแก้วมณี แต่ในที่สุดแก้วมณีนั้นก็หลุดมือหล่น หายไปสู่นาคพิภพตามเดิม พราหมณ์นั้น นอกจากไม่ได้แก้วมณีแล้ว ยังชื่อว่าประทุษร้ายมิตร เพราะเนรคุณต่อโพธิสัตว์อีกด้วย แม้แต่โสมทัตบุตรชายก็ตีจากไป ไม่คบหาด้วย พราหมณ์อาลัมพายน์นั้น ได้จับพระภูริทัตโพธิสัตว์ ไปบังคับให้แสดงอิทธิฤทธิ์ ให้คนดูแลกกับเงิน พระโพธิสัตว์เป็นผู้รักษาอุโบสถศีล ย่อมไม่ทรงเบียดเบียนทำร้ายใคร พราหมณ์สั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำ เสวยทุกข์เป็นอันมาก

               ฝ่ายพระนางสมุททชา ผู้เป็นพระมารดาของพระภูริทัตโพธิสัตว์ ได้ทรงพระสุบินว่า มีคนดุร้ายมาตัดพระพาหาข้างขวาไป ตั้งแต่นั้นมาก็โศกเศร้าเสียพระทัย คิดถึงพระโพธิสัตว์ที่หายไป เมื่อพระโอรสทั้ง 3 มาเฝ้าทราบเรื่องจึงรับอาสาออกติดตาม พระสุทัสสนะได้ปลอมพระองค์เป็นดาบส โดยมีนางอัจจิมุขี พระน้องนางต่างพระมารดา แปลงเป็นเขียดน้อยนอนไปในชฎา ได้เสด็จไปทรงตรวจดูสถานที่ ซึ่งพระโพธิสัตว์ทรงรักษาอุโบสถศีล ก็ทรงทราบว่าพระภูริทัตโพธิสัตว์ ถูกมนุษย์จับไป จึงทรงติดตามไปจนถึงเมืองพาราณสี เมื่อทอดพระเนตรเห็นพราหมณ์อาลัมพายน์ หมองู ผู้ซึ่งกำลังเปิดรายการนาคราชแสดงฤทธิ์ อยู่ท่ามกลางฝูงชน จึงเสด็จเข้าไปดูด้วยผู้หนึ่ง
               ภูริทัตนาคราชเลื้อยออกมาจากที่คุมขัง แลดูโดยรอบเมื่อเห็นสุทัสสนดาบส ผู้พี่ชายก็ดีใจ จึงรีบเลื้อยเข้าไปหา พอไปถึงก็ฟุบหน้าร้องไห้บนหลังเท้าดาบส เมื่อสร่างโศกบ้างแล้ว ภูริทัตนาคราชจึงเลื้อยกลับไปในที่อยู่ พราหมณ์อาลัมพายน์เข้าใจว่า นาคของตนกัดดาบสก็ตกใจ รีบเดินเข้าไปปลอบว่า  " ท่านดาบส นาคของเรากัดเท้าท่านกระมัง เอาเถอะ ท่านไม่ต้องกลัวหรอก เราจะเยียวยารักษาให้ท่านเอง "   สุทัสสนดาบสจึงบอกพราหมณ์ว่า นาคตัวนี้ทำอะไรตนไม่ได้แน่ เพราะในบรรดาหมองูที่มีในโลก ไม่มีใครเก่งกล้ายิ่งไปกว่าตน พราหมณ์ได้ฟังก็โกรธด่าว่าดาบส แล้วดาบสและพราหมณ์ ก็ท้าทายพนันกันว่า ระหว่างงูหงอนแดง กับลูกเขียดน้อยนั้น ใครจะมีพิษร้ายแรงยิ่งกว่ากัน ผู้แพ้จะต้องจ่ายทรัพย์ 1,000 กหาปณะ ให้ผู้ชนะ แล้วสุทัสสนดาบส ก็เข้าเฝ้าพระเจ้าสาครพรหมทัต พระเจ้ากรุงพาราณสีผู้ทรงเป็นพระเจ้าลุง ขอให้ทรงเป็นนายประกัน ในทรัพย์ 1,000 กหาปณะนั้น
               สุทัสสนดาบสเรียกลูกเขียดน้อยในชฎาออกมา ลูกเขียดน้อยอัจจิมุขีผู้มีฤทธิ์ ก็กระโดดลงมานั่งที่ฝ่ามือดาบส คายพิษไว้ 3 หยด แล้วจึงกลับเข้าไปในชฎาตามเดิม สุทัสสนดาบส ได้กราบทูลพระเจ้าสาครพรหมทัต ให้ทรงทราบว่า พิษนี้ร้ายแรงยิ่งหากหยดลงบนแผ่นดิน ต้นไม้ใบหญ้า ก็จะเหี่ยวแห้งตาย จนหมดสิ้น หากซัดขว้างไปในอากาศ ฝนและน้ำค้างจะไม่ตกตลอด 7 ปี และหากทิ้งลงในแม่น้ำ บรรดาสัตว์ในน้ำ ก็จะพึงตายหมดไม่มีเหลือ จึงให้คนขุดบ่อขึ้น 3 บ่อ บ่อที่ 1 ใส่ยาต่างๆ จนเต็ม บ่อที่ 2 ใส่โคมัย (ขี้วัว)ให้เต็ม บ่อที่ 3 ใส่ยาทิพย์จนเต็ม แล้วจึงหยดพิษลงในบ่อที่ 1 ขณะนั้นนั่นเอง ก็เกิดเปลวเพลิงลุกโพลงขึ้น ในบ่อที่ 1 นั้น แล้วลุกลามไหม้ไปบ่อที่ 2 และบ่อที่ 3 จนหมดเชื้อจึงดับ ไอควันพิษได้ฉาบผิวกาย ของพราหมณ์อาลัมพายน์ ผู้ยืนอยู่ใกล้จนไหม้เกรียม กระดำกระด่างกลายเป็นโรคเรื้อน ด่างดำไปทั่วตัว พราหมณ์อาลัมพายน์นั้นร้อง ด้วยความตกใจกลัวว่า  " เรายอมปล่อยนาคราชแล้ว เรายอมแพ้ "   ภูริทัตนาคราชได้ฟังจึงรีบออกมาจากกรง เนรมิตร่างเป็นมานพ เดินเข้าไปหาสุทัสสนดาบส จากนั้นได้กราบทูลเรื่องราว ให้พระเจ้าพาราณสีทรงทราบทุกอย่าง พระราชาทรงโสมนัสยิ่ง

หน้า1    หน้า2
 

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย