ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>

พระเจ้าสิบชาติ

พระเตมีย์  ผู้ทรงบำเพ็ญเนกขัมมบารมี
พระมหาชนก ผู้ทรงบำเพ็ญวิริยบารมี
สุวรรณสาม ผู้บำเพ็ญเมตตาบารมี
พระเนมิราช ผู้ทรงบำเพ็ญอธิษฐานบารมี
มโหสถบัณฑิต ผู้ทรงบำเพ็ญปัญญาบารมี
พระภูริทัต ผู้ทรงบำเพ็ญศีลบารมี
พระจันทกุมาร ผู้ทรงบำเพ็ญขันติบารมี
พระมหานารทกัสสปะ ผู้ทรงบำเพ็ญอุเบกขาบารมี
วิธุรบัณฑิต ผู้บำเพ็ญสัจบารมี
พระเวสสันดร ผู้ทรงบำเพ็ญทานบารมี

สุวรรณสาม ผู้บำเพ็ญเมตตาบารมี

 suwansam.jpg (27546 bytes)

หน้า1    หน้า2 

              สุวรรณสามกุมาร เป็นบุตรของทุกูลฤาษี และปาริกาฤาษีณี อาศัยอยู่ ณ บรรณศาลาริมฝั่ง แม่น้ำมิคสัมมตา ในหิมวันตประเทศ พระฤาษีทั้งสองนั้นเจริญเมตตา ภูมิกามาพจร จึงเป็นที่รักพอใจ ของบรรดาสัตว์ป่าในละแวกนั้น และหมู่สัตว์ในบริเวณนั้นไม่เบียดเบียนกัน อยู่ด้วยความรัก สามัคคีกลมเกลียวกัน เมื่อสุวรรณสามกุมารเกิดมา จึงอยู่ท่ามกลางฝูงสัตว์เป็นจำนวนมาก สัตว์ทุกชนิด ต่างคอยติดตามสุวรรณสามกุมาร ไปในที่ทุกแห่งเป็นประจำ สุวรรณสามกุมารฤาษีน้อย ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ ที่เสด็จอุบัติมา เพื่อทรงบำเพ็ญเมตตาบารมี ในชาตินี้ เป็นผู้คอยปรนนิบัติรับใช้ บิดา มารดา มาตลอดจนกระทั่งอายุได้ 16 ปี อยู่มาวันหนึ่งพระฤาษี และพระฤาษีณี ซึ่งเป็นบิดา มารดา ของสุวรรณสาม ก็ตาบอดเพราะถูกพิษงู ในระหว่างเดินทางกลับที่อยู่ สุวรรณสามออกติดตามจนพบ แล้วให้บิดามารดา จับหลายไม้เท้าจูงกลับบรรณศาลา ได้ปลอบโยนท่านทั้งสอง ให้เบาใจว่า ขออย่าคิดอะไรเลย ตนจะเป็นผู้ปรนนิบัติรับใช้เอง ตั้งแต่นั้นมาสุวรรณสามก็ได้ปฏิบัติ บำรุงท่านทั้งสองตลอดมา
               ครั้งนั้น พระราชาพระนามว่า ปิลยักขราช แห่งกรุงพาราณสี เป็นผู้ที่ชอบเสวย เนื้อสัตว์ป่ามาก ได้ทรงมอบราชสมบัติให้พระชนนีปกครอง ส่วนพระองค์ทรงผูกสอด ราชอาวุธครบครัน เสด็จเข้าสู่หิมวันตประเทศเพียงพระองค์เดียว เพื่อทรงล่าสัตว์ป่าเป็นอาหาร เสด็จถึงท่ามิคสัมมตานที ที่สุวรรณสามลงตักน้ำ ได้ทอดพระเนตรเห็นรอยเท้าสัตว์ป่ามากมาย ก็ทรงทำซุ้มด้วยกิ่งไม้สีเขียว ประทับนั่งซ่อนพระองค์อยู่บนซุ้มนั้นเพื่อยิงสัตว์ ต่อมามิช้านาน พระราชาปิลยักขราช ก็ทอดพระเนตรเห็น พระโพธิสัตว์สุวรรณสาม ถือหม้อดินเดินมา มีหมู่มฤค (เนื้อ) แวดล้อมเป็นอันมากมุ่งสู่ท่าน้ำนั้น สุวรรณสามฤาษีน้อยนั้น เมื่ออาบน้ำชำระร่างกายเรียบร้อย ก็ขึ้นจากน้ำ นุ่งผ้าเปลือกไม้สีแดงผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่ง เอาหนังเสือพาดเฉวียงบ่า ตักน้ำจนเต็มหม้อ แล้วเดินแบกกลับบรรณศาลา ขณะนั้น พระราชาทรงยิงพระโพธิสัตว์นั้นด้วยลูกศรอาบยาพิษ ฝูงมฤคพากันตกใจแตกหนีไป สุวรรณสามโพธิสัตว์ถูกลูกศรเสียบข้างจนทะลุ รู้สึกเจ็บปวดแทบสิ้นสติ สมประดี พยายามประคองหม้อน้ำค่อยๆ วางลง หันศีรษะไปในทิศทางที่อยู่ของบิดามารดา แล้วล้มนอนลงบนพื้นทรายนั้น คิดว่าเราไม่เคยสร้างเวรให้ใคร ในหิมวันตประเทศนั้น แม้บิดามารดาของเรา ก็ไม่เคยก่อเวรเลย แล้วจึงกล่าวว่า

               " ใครหนอใช้ลูกศรยิงเรา ผู้มิได้ระวังตัวแบกหม้อน้ำอยู่ ท่านเป็นกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ หรือเป็นใคร ไฉนยิงเราแล้วหลบซ่อนอยู่ เนื้อของเราก็กินไม่ได้ หนังก็ไม่มีประโยชน์ เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านยังยิงเราเพราะเหตุอะไร ดูก่อนสหายท่านคือใคร เราจะรู้จักท่านได้อย่างไร เราถามแล้ว ขอท่านจงบอกเถิด ทำไมท่านยิงเราแล้วจึงซ่อนตัวเสีย "
               พระราชาทรงสดับเสียงนั้น ทรงดำริว่า บุรุษนี้แม้ถูกเรายิงด้วยลูกศรอาบยาพิษแล้ว ก็ไม่โกรธไม่ด่าทอตัดพ้อเรา เรียกหาเราด้วยถ้อยคำที่น่ารัก แล้วเสด็จไปหาพระโพธิสัตว์ ตรัสตอบว่า
               " เราเป็นพระราชาของชาวกาสี คนเรียกเราว่าพระเจ้าปิลยักษ์ เราละแว่นแคว้น เที่ยวแสวงหามฤคเพราะความโลภ อนึ่ง เราเป็นผู้ฉลาดในธนูศิลป์ ยิงธนูได้แม่นยำมาก แม้พญาช้างสาร หากมาสู่ระยะลูกศรของเรา ก็ไม่พึงพ้นไปได้ "
               พระโพธิสัตว์ได้เล่าให้พระราชาทรงทราบว่า ตนเป็นบุตรของฤาษี บิดามารดาตั้งชื่อว่าสามะ วันนี้กำลังนอนอยู่บนปากทางแห่งความตาย เพราะถูกยิงด้วยลูกศรอาบยาพิษ ขอให้พระราชา ตรัสบอกว่าทรงยิงตนด้วยสาเหตุใด เมื่อพระราชาตรัสว่า  " เพราะพวกหมู่เนื้อเห็นท่านแล้วหนีไป เราโกรธก็เลยยิงท่าน "   จึงกราบทูลว่า จำเดิมแต่ตนนุ่งห่มผ้าเปลือกไม้ ก็ได้เป็นเพื่อนเล่น ชื่นชมต่อกันกับมฤคทั้งหลาย และพวกกินนร ที่ภูเขาคันธมาทน์ ไม่มีความหวาดสะดุ้งกลัวต่อกันเลย พระราชาจึงตรัสบอกความจริงว่า ทรงยิงเพราะความโกรธและความโลภ และทรงไต่ถามถึงบิดา มารดา พระโพธิสัตว์สุวรรณสามจึงทูลว่า
               " บิดามารดาของข้าพระองค์ตาบอด ข้าพระองค์เลี้ยงท่านเหล่านั้นอยู่ในป่าใหญ่ เพื่อจะนำน้ำไปให้ท่านทั้งสองนั้น จึงมาแม่น้ำมิคสัมมตา บิดามารดายังมีอาหารเหลืออยู่บ้าง พอประทังชีวิตไปได้ห้าหกวัน แต่น้ำดื่มนั้นไม่มีแล้ว เกรงว่าจะต้องตายเพราะกระหายน้ำ ความทุกข์เพราะการถูกยิงนี้ยังพอทนได้ แต่ความทุกข์เพราะการไม่ได้เห็นบิดามารดา ไม่ได้ปฏิบัติบำรุงท่านทั้งสองนั้น เป็นความทุกข์อันยิ่งใหญ่ เพราะอีกไม่นานข้าพระองค์ ก็คงต้องตายไป บิดามารดาผู้มีจักษุมืดบอด เมื่อไม่เห็นข้าพระองค์ ก็จักเที่ยวตามหาในป่าใหญ่ ได้รับทุกข์ "
               พระราชาทรงปลอบโยนว่า ขออย่าได้เศร้าเสียใจไปเลย พระองค์จะเป็นผู้ปรนนิบัติ เลี้ยงดูท่านทั้งสองเอง ขอให้บอกทางไปที่อยู่ ของท่านทั้งสองให้ก็พอแล้ว พระโพธิสัตว์ก็ชี้ทางให้ แล้วกราบขอบคุณพระราชา ที่จะทรงเลี้ยงบิดามารดาแทนตน และขอฝากกราบบิดามารดาไปด้วย แล้วก็หมดสติสลบไป พระราชาเข้าพระทัยว่า พระโพธิสัตว์สิ้นชีวิตแล้ว ทรงเศร้าสลดพระทัยมาก ทรงคร่ำครวญว่า เราสำคัญว่าจะไม่แก่ไม่ตาย เพิ่งรู้เรื่องนี้ในวันนี้เอง เพราะได้เห็นสามบัณฑิตตาย สามบัณฑิตยังพูดอยู่กับเราเมื่อครู่นี้ บัดนี้ไม่พูดอะไรแล้ว เราจะต้องไปสู่นรกแน่นอน เพราะเราทำบาป หยาบช้ามามาก คนทั้งหลายจะประชุมกันในบ้านเมือง โพนทะนาว่ากล่าว เอาโทษเรา ใครเขาจะมาโพนทะนากล่าวโทษเราในป่าอันหามนุษย์มิได้นี้

หน้า1    หน้า2
 

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย