วรรณกรรม สุภาษิต ข้อคิด คำคม สำนวน โวหาร งานเขียน >>
ร้อยแก้วยุคแรกในสมัยรัตนโกสินทร์
สรณัฐ ไตลังคะ
ประวัติศาสตร์นิพนธ์: วาทกรรม ที่ ประกอบสร้าง
ประวัติศาสตร์เป็น ศาสตร์ หรือ ศิลป์
แนวคิดของไวต์กับการศึกษาประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย
พงศาวดารกับขนบวรรณศิลป์ในวรรณกรรมไทย
การควบคุมอดีต: การสร้างความสัมพันธ์เชิงอำนาจ
เรื่องเล่าในพงศาวดาร:
บันเทิงคดีร้อยแก้วยุคแรกของสมัยรัตนโกสินทร์
บรรณานุกรม
ประวัติศาสตร์นิพนธ์: วาทกรรม ที่ ประกอบสร้าง
ในงานเขียนรวมบทความชื่อ Tropics of Discourse: Essays in Cultural Criticism
(1985) เฮย์เดน ไวต์ได้ชี้ให้เห็นว่า
ความเชื่อที่ว่าประวัติศาสตร์นิพนธ์เป็นการทำความเข้าใจและให้ความหมายบางอย่างเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตโดยมีตัวแบบในการจัดระเบียบอย่างใดอย่างหนึ่งและเป็นงานบันทึกเหตุการณ์ที่มีความเป็นกลางไม่เอียงข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดนั้นถูกท้าทายมากขึ้นเรื่อยๆ
ในบทที่มีชื่อว่า Interpretation in History เขาได้ชี้ให้เห็นว่า
นักประวัติศาสตร์ทำงานโดยการรวบรวมเหตุการณ์ที่เป็นข้อเท็จจริงต่างๆ
แต่เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดนั้นมีจำนวนมากมายเกินกว่าที่เขาจะสามารถรวบรวมและเรียบเรียงเป็นเรื่องราว
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ
เขาจะต้องตัดหรือทิ้งข้อมูลบางอย่างที่เขาเห็นว่าไม่เกี่ยวข้องไป นอกจากนั้น
การที่เขาพยายามจะร้อยเรียงเหตุการณ์ต่างๆ
ตามที่ค้นคว้ามาเป็นเรื่องราวเพื่อให้เกิดความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลานั้นๆ
ทำให้เขาต้องพยายาม เติมช่องว่าง ให้เต็มด้วยการหาคำอธิบายที่มีความเป็นไปได้
ความพยายามดังกล่าวก็คือการที่นักประวัติศาสตร์ได้ ตีความ ข้อมูลที่เขามีอยู่
ปัญหาก็คือ หากงานเขียนประวัติศาสตร์เป็นงานตีความข้อมูล
เราจะกล่าวได้เต็มปากหรือว่างานเขียนประวัติศาสตร์เป็นงานที่เป็นกลาง
นักประวัติศาสตร์มีวิธีการตีความข้อมูล 2 วิธีคือ วิธีแรก คือ
การเลือกโครงสร้างของเรื่องซึ่งทำให้เหตุการณ์ต่างๆ
นั้นอยู่ในรูปของเรื่องเล่าที่เป็นที่คุ้นเคยกันในวัฒนธรรมนั้นๆ และวิธีที่ 2 คือ
การเลือกวิธีการในการอธิบาย (mode of explanation) เช่น
การหาความคล้ายคลึงกันของปรากฏการณ์เพื่อจับรวมเข้าด้วยกัน
การทำความเข้าใจเหตุการณ์ในลักษณะที่สัมพันธ์กันเป็นเหตุเป็นผล
และการทำความเข้าใจเหตุการณ์หนึ่งในลักษณะที่เป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ที่เป็นองค์รวม
นอกจากนี้
ความแตกต่างของประวัติศาสตร์นิพนธ์ยังอยู่ที่อุดมการณ์ของนักประวัติศาสตร์
เขากล่าวว่า นักประวัติศาสตร์ย่อมมีอุดมการณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง
สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท ได้แก่ พวกอนาธิปไตย คือ พวกที่ไม่ชอบระบบการปกครอง
(anarchist) พวกอนุรักษ์นิยม (conservative) พวกหัวรุนแรง (radical) และพวกเสรีนิยม
(liberal) ดังนั้น การที่กล่าวว่า
ประวัติศาสตร์นิพนธ์เป็นงานที่มีความเป็นกลางนั้นเป็นไปไม่ได้
เพราะนักประวัติศาสตร์ย่อมมีอุดมการณ์ที่แน่นอนหนึ่งๆ
การตีความประวัติศาสตร์ของนักประวัติศาสตร์ย่อมต้องผ่าน แว่น อุดมการณ์นี้
ด้วยเหตุนี้เราจะพบว่า ประวัติศาสตร์นิพนธ์หลายๆ
เล่มที่เป็นการอธิบายเหตุการณ์เดียวกันและในช่วงเวลาเดียวกันนั้นอาจมีความแตกต่างกันมาก
ความแตกต่างไม่ใช่เกิดจากการที่นักประวัติศาสตร์เหล่านี้ได้ข้อมูลมากน้อยต่างกัน
แต่เกิดจากมีการสร้างโครงเรื่องที่ตนคิดว่าเหมาะสมและสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของการเขียนประวัติศาสตร์ช่วงนั้นๆ
หรือตรงกับอุดมการณ์ของตน
ดังนั้น เราจึงควรเข้าใจประวัติศาสตร์นิพนธ์เสียใหม่โดยยอมรับว่า
ประวัติศาสตร์นิพนธ์ไม่ใช่การ ค้นพบ อดีต แต่เป็นการ ประกอบสร้าง
เรื่องราวจากเหตุการณ์ในอดีตขึ้นมา ดังที่นิธิ เอียวศรีวงศ์กล่าวใน
เรื่องจริงอิงนิยาย ในว่าด้วยการเมืองของประวัติศาสตร์และความทรงจำ (2545) ว่า
ไม่เพียงนักประวัติศาสตร์ไม่รู้ เรื่อง จริงของอดีตเท่านั้น
แต่ในอดีตที่เป็นจริงนั้นไม่มี เรื่อง ให้รู้ด้วยซ้ำ
มีแต่เหตุการณ์เป็นหมื่นเป็นแสนเหตุการณ์เกิดขึ้น
เหตุการณ์เหล่านี้ไม่มีเรื่องผูกเข้าหากันแต่อย่างใดทั้งสิ้น
จึงเป็นหน้าที่ของนักประวัติศาสตร์ที่จะต้อง สร้าง เรื่องขึ้นมา


