วรรณกรรม สุภาษิต ข้อคิด คำคม สำนวน โวหาร งานเขียน >>
ร้อยแก้วยุคแรกในสมัยรัตนโกสินทร์
สรณัฐ ไตลังคะ
ประวัติศาสตร์นิพนธ์: วาทกรรม ที่ ประกอบสร้าง
ประวัติศาสตร์เป็น ศาสตร์ หรือ ศิลป์
แนวคิดของไวต์กับการศึกษาประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย
พงศาวดารกับขนบวรรณศิลป์ในวรรณกรรมไทย
การควบคุมอดีต: การสร้างความสัมพันธ์เชิงอำนาจ
เรื่องเล่าในพงศาวดาร:
บันเทิงคดีร้อยแก้วยุคแรกของสมัยรัตนโกสินทร์
บรรณานุกรม
ประวัติศาสตร์เป็น ศาสตร์ หรือ ศิลป์
ในบทที่มีชื่อว่า Historical Text as Literary Artifact
ไวต์ได้ชี้ประเด็นความเหมือนกันของประวัติศาสตร์นิพนธ์กับวรรณคดีในรายละเอียดโดยกล่าวว่า
ข้อถกเถียงที่มีมาตลอดในการศึกษาประวัติศาสตร์ก็คือ ประวัติศาสตร์เป็น ศาสตร์
หรือ ศิลป์ (เช่น
ปัญหาที่ว่าวิชาประวัติศาสตร์ควรจะอยู่ในคณะมนุษยศาสตร์หรือคณะสังคมศ่าสตร์)
เพราะวิธีการที่นักประวัติศาสตร์พยายามที่จะอธิบายสิ่งที่เกิดในอดีตนั้นคล้ายกับวิธีการของวรรณคดีมากกว่า
ไวต์อ้างคำพูดของ นอร์ทรอป ฟราย (Northrop Frye) ที่ว่า
เมื่องานของนักประวัติศาสตร์ไปสู่จุดของการทำความเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
งานก็มีลักษณะเหมือนเรื่องปรัมปรา (myth) และมีแนวทางเหมือนกวีศาสตร์ (poetics)
ในด้านโครงสร้าง
ฟรายจึงเทียบประวัติศาสตร์นิพนธ์กับเรื่องปรัมปราโดยแบ่งงานออกเป็น 4 ประเภทคือ
แบบจินตนิยม โศกนาฏกรรม สุขนาฏกรรม และเสียดสี
การแบ่งงานออกเป็น 4 ประเภทดังกล่าวได้ปรากฏในบท Interpretation in
History ในงานเล่มเดียวกันดังกล่าว โดยที่ไวต์กล่าวว่า
การที่นักประวัติศาสตร์ต้องเผชิญกับข้อมูลอันมหาศาล
เขาจึงต้องเลือกสรรและจัดระเบียบขึ้นเป็นเรื่องเล่าเพื่อวัตถุประสงค์หนึ่งๆ
แม้ว่าการจัดระเบียบประการหนึ่งก็คือจัดตามลำดับเวลาที่เหตุการณ์เกิดขึ้น
แต่การเรียงร้อยเหตุการณ์เป็นเรื่องเล่านั้นโดยนัยก็คือการจัดลำดับตามที่นักประวัติศาสตร์คิดว่าเป็นเหตุเป็นผลกัน
กล่าวอีกนัยก็คือ นักประวัติศาสตร์นำเหตุการณ์มาเรียงร้อยเป็นโครงเรื่อง
(emplotment) ข้อสรุปที่น่าสนใจของไวต์ก็คือ
วิธีการสร้างโครงเรื่องหรือการลำดับเหตุการณ์ของประวัติศาสตร์นิพนธ์นั้นมีลักษณะคล้ายคลึงกับโครงเรื่องของวรรณคดีที่ดำรงอยู่ในวัฒนธรรมนั้นๆ
เขาได้ยกตัวอย่างประวัติศาสตร์นิพนธ์เกี่ยวกับการปฏิวัติฝรั่งเศสว่า
หลายเล่มมีความแตกต่างกัน
ความแตกต่างนี้เกิดจากการที่นักประวัติศาสตร์แต่ละคนใช้วิธีการที่ต่างกันในการตีความและการสร้างโครงเรื่อง
นักประวัติศาสตร์บางคนใช้วิธีการอธิบายเหตุการณ์การปฏิวัติฝรั่งเศสด้วยโครงเรื่องแบบจินตนิยม
(Romantic คือ
มีลักษณะของการเดินทางเพื่อค้นหาหรือแสวงบุญไปสู่ดินแดนแห่งความสุขหรือดินแดนแห่งพระเจ้า)
บางคนใช้โครงเรื่องแบบโศกนาฏกรรม (Tragic คือ การที่ผู้มีอำนาจจมดิ่งสู่ความตกต่ำ)
บางคนใช้แบบสุขนาฏกรรม (Comic คือ
การพัฒนาก้าวไปข้างหน้าผ่านการต่อสู้หรือการปฏิวัติ) หรือบางคนก็ใช้แบบเสียดสี
(Satiric หรือ Ironic คือ
วิบัติภัยที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยที่มนุษยชาติไม่รู้จักจดจำเข็ดหลาบ)
นอกจากนี้ ไวต์ได้กล่าวว่า
นักประวัติศาสตร์ก็คือนักเล่าเรื่องที่มีความสามารถในการเล่าเรื่องราวที่น่าจะเป็นไปได้จากข้อเท็จจริงที่เป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์
ข้อเท็จจริงเมื่อยังไม่ได้นำมาจัดระเบียบเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยาก
เพราะกระจัดกระจายและไม่สมบูรณ์ ดังนั้นสิ่งที่นักประวัติศาสตร์ทำก็คือการใช้
จินตนาการประกอบสร้าง
ในการอธิบายเรื่องราวที่เป็นไปได้ที่สร้างจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์
ไวต์ได้เสริมว่า ประวัติศาสตร์นิพนธ์ต่างๆ
ไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยที่เหตุการณ์หรือข้อเท็จจริงต่างๆ
เรียงกันตามลำดับเวลาที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องราว แต่เกิดจากการที่นักประวัติศาสตร์
เลือกใช้ ตัดทิ้ง หรือ เน้น บางเหตุการณ์ให้เด่นกว่าเหตุการณ์อื่น
โดยใช้เทคนิคของการสร้างตัวละคร การซ้ำแนวเรื่อง (motif) การใช้น้ำเสียง
การใช้บทบรรยายหรือพรรณนาแบบต่างๆ รวมทั้งการใช้มุมมอง
การที่นักประวัติศาสตร์ทำเช่นนี้ก็เพื่อจัดระเบียบข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ที่อยู่ห่างไกลจากพวกเรา
ข้อเท็จจริงหรือเหตุการณ์เหล่านี้เมื่อเวลาผ่านไปก็จะเป็นสิ่งที่แปลกหรือไม่คุ้นเคย
ดังนั้นการที่จะทำให้เหตุการณ์เหล่านี้เป็นที่เข้าใจได้ไม่ใช่เพราะนักประวัติศาสตร์ได้ข้อมูลที่ละเอียดชัดเจน
แต่ด้วยการนำเสนอโดยใช้กรอบวิธีคิดที่เป็นที่เข้าใจในหมู่นักอ่านทั่วไปนั่นเอง
และกรอบความคิดที่ว่านั้นก็คือขนบของการเล่าเรื่องในวรรณคดีของวัฒนธรรมนั้น เช่น
นิทานปรัมปรา นิทาน เป็นต้น (86-87) เขากล่าวว่า
การยืนยันว่ามีองค์ประกอบทางบันเทิงคดีในเรื่องเล่าเชิงประวัติศาสตร์นั้นทำให้นักประวัติศาสตร์ไม่พอใจ
เพราะพวกเขาเชื่อว่าโดยพื้นฐานแล้วตนกำลังทำสิ่งที่แตกต่างกับนักเขียนนวนิยาย
ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาทำงานเกี่ยวข้องกับ ความจริง
ในขณะที่นักเขียนนวนิยายทำงานจากเหตุการณ์ที่จินตนาการขึ้น จริงๆ แล้ว
ทั้งนักประวัติศาสตร์และกวีหรือนักเขียนนวนิยายต่างก็ทำความเข้าใจประวัติศาสตร์
(ที่เป็นโลกที่แท้จริงที่คลี่คลายไปตามเวลา) เหมือนๆ กัน นั่นคือ
ทำความเข้าใจเหตุการณ์ที่ดูเหมือนเป็นปัญหาหรือลึกลับด้วยรูปแบบที่คุ้นเคยหรือเป็นที่รู้จักกันดี
ไม่ใช่เรื่องสำคัญว่าโลกนั้นเป็นโลกที่แท้จริงหรือเป็นโลกสมมุติ
เพราะลักษณะของการทำความเข้าใจนั้นเหมือนกัน
ธงชัย วินิจจะกูลได้กล่าวใน การศึกษาประวัติศาสตร์แบบ postmodern ว่า
วิวาทะเกี่ยวกับการสร้างเรื่องแบบวรรณกรรมในประวัติศาสตร์นิพนธ์
แม้จะลดความเข้มข้นในทศวรรษ 1990 แต่ยังไม่จบเสียทีเดียว
ประวัติศาสตร์กลับถูกเผยโฉมว่าแท้จริงแล้วเป็นญาติใกล้เคียงกับวรรณกรรมที่อาศัยวิธีการทางการประพันธ์
การวิพากษ์วิจารณ์และการตรวจสอบทางประวัติศาสตร์มิใช่เพียงแค่เรื่องของหลักฐานข้อมูลหรือทฤษฎีทางสังคมศาสตร์อีกต่อไป
แต่กลับรวมถึงปัจจัยทางการประพันธ์และทฤษฎีทางวรรณคดีที่มีผลต่อการถ่ายทอดและการเสนอเรื่องราวในอดีตอีกด้วย


