สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
เศรษฐศาสตร์คืออะไร
เศรษฐศาสตร์กระแสหลักจากมุมมองสตรีนิยม
กระแสการหมุนเวียนของระบบเศรษฐกิจ: กระแสที่มืดบอดต่อประเด็นเพศภาวะ
ความจำเป็นในการบูรณาการสตรีศึกษาเข้ากับการศึกษาทางเศรษฐศาสตร์
บรรณานุกรม
ครัวเรือนในกระแสการหมุนเวียนของระบบเศรษฐกิจนี้
สร้างขึ้นบนสมมติฐานของเศรษฐศาสตร์ครัวเรือนของ ศาสตราจารย์แกรี่ เบคเกอร์ (Gary
Becker) ในหนังสือเรื่อง A Treatise of the Family ที่ตีพิมพ์เมื่อคริสต์ศักราช
1981 โดยที่แกรี่เสนอว่าครัวเรือนแท้จริงแล้วก็เหมือนกับโรงงานเล็กๆ โรงหนึ่ง
ซึ่งสมาชิกทุกคนทำงานอย่างสมานฉันท์เพื่อประโยชน์สูงสุดของโรงงาน กล่าวสั้นๆ ก็คือ
แกรี่เสนอว่าทฤษฎีอรรถประโยชน์หน่วยสุดท้ายสามารถใช้ได้กับพฤติกรรมและการตัดสินใจของครัวเรือน
การตัดสินใจของหัวหน้าครัวเรือนก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรักใคร่ เห็นอกเห็นใจ
และเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมของสมาชิกในครัวเรือน (Altruism)
นักเศรษฐศาสตร์สตรีนิยมได้ออกมาโต้แย้งอย่างมากในการใช้สมมติฐานครัวเรือนเช่นนี้
ศาสตราจารย์อมาตยา เซ็น (Amartaya Sen) เป็นนักเศรษฐศาสตร์พัฒนาคนแรกๆ
ที่ออกมาแย้งว่าแท้จริงแล้วครัวเรือนไม่ใช่อาณาบริเวณที่ปราศจากความขัดแย้งเหมือนที่นักเศรษฐศาสตร์สำนักคลาสิกใหม่อ้างกัน
เขาโต้ว่าครัวเรือนเป็นที่ของความขัดแย้งพอๆ กับความปรองดอง (Cooperative Conflict)
การที่จะมองว่าครัวเรือนเป็นที่ที่มีแต่ความสมานฉันท์อย่างเดียวนั้นเป็นเรื่องที่ไม่สมควรยิ่ง
ซึ่งข้อโต้แย้งนี้ก็ตรงกับนักทฤษฏีสตรีนิยมเสนอว่าความสัมพันธ์ในครัวเรือนโดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างผู้หญิงและผู้ชายเป็นความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ต้องมีการต่อรองและขับเคี่ยวกันอยู่เสมอ
(Sen, 1990)
สมมติฐานเรื่องครัวเรือนยังถูกวิพากษ์อย่างมากในเรื่องของความเป็น
Altruism ของครัวเรือน
บ่อยครั้งที่นักสตรีนิยมตั้งคำถามเกี่ยวกับหัวหน้าของครัวเรือน
(ซึ่งสังคมคาดหวังว่าจะเป็นผู้ชาย)
ว่าหากสมมติฐานเบื้องต้นที่กล่าวว่าทุกคนตัดสินใจในกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพื่อประโยชน์สูงสุดของตนแล้ว
จะอธิบายได้อย่างไรว่าการตัดสินใจของหัวหน้าครัวเรือนเป็นการตัดสินใจบนพื้นฐานของความต้องการของสมาชิกครัวเรือนทุกคน
ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ยังบกพร่องที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่าหากสมาชิกของครัวเรือนมีความต้องการที่ไม่เหมือนกันแล้ว
หัวหน้าครัวเรือนจัดการกับสิ่งเหล่านี้อย่างไร
และการปล่อยให้หัวหน้าครัวเรือนเป็นผู้ตัดสินใจแทนสมาชิกในครัวเรือนนั้นเป็นเรื่องที่สมควรหรือไม่อย่างไร
ทั้งนี้เพราะการศึกษาเรื่องของแบบแผนการใช้จ่ายของผู้หญิงและผู้ชายในครัวเรือนเดียวกันในหลายสังคมแสดงให้เห็นอย่างประจักษ์ชัดว่ามีแบบแผนต่างกัน
แร เลสเซอร์ บลูมเบอร์ก (Rae Lesser Blumberg, 1991)
ทำการวิจัยเชิงประจักษ์ในเรื่องการใช้จ่ายรายได้ของผู้หญิงและผู้ชายในประเทศโลกที่สามหลายประเทศแล้วพบว่า
ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายเงินไปเพื่อประโยชน์ของครัวเรือนในขณะที่ผู้ชายมีแนวโน้มที่จะใช้เงินเพื่อส่วนตัวมากกว่า
ดังนั้น การไม่มีการกล่าวถึงความเป็นไปในครัวเรือนในทฤษฎีเศรษฐศาสตร์
เหมือนจะเป็นการละเลยต่อสภาพความเป็นจริงของมนุษย์ ในครัวเรือนหนึ่งๆ
สมาชิกในครัวเรือนนั้นไม่ได้เป็นปัจเจกชนที่ปราศจากค่านิยมอย่างที่ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ตั้งสมมติฐานไว้
สมาชิกแต่ละคนมีความเป็นหญิง ชาย มีอายุที่แตกต่างกัน
และบ่อยครั้งจะถูกคาดหวังจากสังคมและวัฒนธรรมให้กระทำหรือรับบทบาทเฉพาะหนึ่งๆ
กรณีเรื่องการแบ่งงานกันทำภายในครัวเรือนก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ถูกนักสตรีนิยมวิพากษ์อย่างรุนแรง
นักสตรีนิยมที่มีชื่อเสียงเช่น ซีโมน เดอ โบวัวร์ (Simone De Beauvoir, 1953)
กล่าวไว้ว่า แท้จริงแล้วเราไม่ได้เกิดมาเป็นผู้หญิง แต่ถูกทำให้กลายเป็นหญิง (One
is not born, but rather becomes, a woman) สิ่งที่เธอเสนอคือ
แท้จริงแล้วคนเราเกิดมาด้วยเพศสรีระหนึ่งๆ เช่น
เป็นผู้หญิงและผู้ชายที่แบ่งได้ตามอวัยวะสืบพันธุ์
แต่สังคมกำหนดบทบาทหน้าที่ของเราตามเพศสรีระของเรา ซึ่งนักสตรีนิยมเรียกว่าเพศภาวะ
(Gender) อคติที่บังเกิดอยู่ในสังคมก็เกิดมาจากการกำหนดบทบาททางเพศภาวะนี้เอง
ส่วนมากผู้หญิงจะถูกคาดหวังให้เลี้ยงลูก ดูแลครอบครัว ทำความสะอาดบ้าน ฯลฯ
ในขณะที่ผู้ชายถูกคาดหวังให้ทำงานนอกบ้าน หาเงินเลี้ยงดูครอบครัว
แต่ถ้าจะมองให้ดีแล้ว
ผู้ชายก็ถูกครอบงำด้วยกรอบของความคาดหวังของสังคมว่าด้วยเพศภาวะนี้ไม่น้อยไปกว่าผู้หญิงเลย
การละเลยต่อประเด็นเพศภาวะ
และค่านิยมทางเพศในสังคมในทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ทำให้ไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมครัวเรือนจึงไม่ตอบสนองต่อนโยบายทางเศรษฐกิจที่ออกโดยภาครัฐตามที่ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ได้บัญญัติไว้
เช่น
กรณีของผู้หญิงที่ไม่ยอมละทิ้งลูกออกมาทำสวนในอาฟริกาที่อภิปรายไปก่อนหน้านี้แล้ว
ครัวเรือนในกระแสการหมุนเวียนของระบบเศรษฐกิจนี้
ภาคธุรกิจ
ภาครัฐบาล


