ศิลปะ
หัตถกรรม สถาปัตยกรรม ประติมากรรม สันทนาการ
การรวมศูนย์ศิลปะของการกระจายตัวของศิลปะและการเมืองฯ
การรวมศูนย์ศิลปะของการกระจายตัวของศิลปะและการเมือง
จากสภาวะสมัยหลังใหม่สู่สภาวะสมัยใหม่
ธเนศ วงศ์ยานนาวา คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
สภาวะสมัยใหม่ในฐานสำนึกทางเวลาที่เป็นเส้นตรง
วิกฤติและการปฎิวัติ
สภาวะสมัยใหม่กับการรวมศูนย์และรวมสายตา
สภาวะหลังสมัยใหม่ที่เป็น ของเก่า
การกลับหัวกลับหางและความแปลกแยก
การดูดกลืนผู้ชมเข้าสู่สภาวะสมัยใหม่
วัตถุและบรรยากาศของศิลปะที่ไม่ยืนยาว
อาณาเขตที่หลากหลายของศิลปะกับการสิ้นสุดของความเป็นเอกเทศ
เส้นทางอนันต์ (infinity) ของอนาคต
วิกฤติและการปฎิวัติ
สำหรับสมัยภูมิธรรม (Enlightenment)
สำนึกเรื่องอดีตและปัจจุบันเป็นสิ่งที่ห่างไกลจากกันมาก ช่องว่างก็มีมากขึ้น
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องของการหวนกลับไปรื้อฟื้นความยิ่งใหญ่ของอดีต
การโหยหาอดีตเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องทำ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างพุ่งเป้าไปสู่อนาคต
นอกจากนั้นก็เป็นอนาคตที่ไม่มีวันที่จะสิ้นสุด
อนาคตยังเปิดกว้างมากกว่าที่จะเป็นไปตามข้อกำหนดที่ตายตัวแบบคริสตศาสนา
ในแง่นี้ความหมายของการกล่าวว่า อนาคตอยู่ในกำมือของท่าน
ก็เป็นสิ่งที่มีความชัดเจนขึ้น
ความต้องการที่จะกำหนดอนาคตที่ปลายเปิดกว้างนั้นย่อมหมายถึงการกำหนดความเป็นปัจจุบันไปในเวลาเดียวกันด้วย
สภาวะสมัยใหม่จึงเป็นสภาวะที่ให้โอกาสการกำหนดความเป็นตัวของตัวเอง
ความเป็นยุคของตนเอง เมื่อกำหนดยุคด้วยตนเองก็หมายความว่า
จำเป็นจะต้องกำหนดยุคอนาคตและอดีตไปในตัวด้วย
ความเป็นตัวเองที่ไม่ต้องพึ่งพาอดีตและประเพณีทำให้การดำรงอยู่ของสภาวะสมัยใหม่ต้องการสร้างความชอบธรรมว่า
ทำไมสิ่งเหล่านี้ถึงดำรงอยู่
สภาวะสมัยใหม่จะสร้างความชอบธรรมในการดำรงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อไร้ซึ่งศาสนา ประเพณี
เพราะในการประเมินสิ่งต่างๆ ในแต่ละอาณาเขตก็จะต้องมีอาณาเขตที่แยกกันออกไป
ไม่ว่าจะเป็นศีลธรรม เศรษฐกิจ การเมือง และสุนทรียะ
โดยในความรู้แต่ละอาณาเขตก็สร้างและมีพื้นที่ที่แตกต่างกันออกไป
ในที่นี้ทำให้ไม่สามารถที่จะมีความรู้แบบที่ครอบคลุมได้ทุกอาณาเขต
การมีอาณาเขตเฉพาะแสดงให้เห็นถึงข้อจำกัดทางความรู้ นี่เป็นความคิดสำคัญของ
Immanuel Kant
ที่พยายามชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดของความรู้มนุษย์ซึ่งในที่สุดแล้วก็หมายความว่าความรู้แบบที่เป็นวัตถุวิสัยจริงๆ
ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ แต่นี่ก็ทำให้เกิดความหวาดวิตกว่า
จะรู้อะไรที่นอกจากตัวตนของเราได้อย่างไร
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เรารู้ในสมองของเรานั้นเป็นสิ่งเดียวกันกับสิ่งที่อยู่ภายนอก
ในแง่นี้สภาวะสมัยใหม่จึงต้องประสบอยู่กับความหวาดวิตกและกังวล (anxiety)
อยู่ตลอดเวลา เพราะหารากฐานรองรับที่มั่นคงไม่ได้ง่ายๆ แบบเดิม
สภาวะสมัยใหม่จึงกลายเป็นสภาวะของความวิตกจริต
สภาวะของจิตที่ไม่มีความเป็นเอกภาพอีกต่อไป
เมื่อเป็นเช่นนั้นสภาวะสมัยใหม่จึงต้องเผชิญกับ crisis อยู่ตลอดเวลา
วิกฤติจึงเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่อย่างถาวรในสภาวะสมัยใหม่ คำว่า crisis
นี้แต่เดิมเป็นศัพท์ในภาษากรีกโบราณที่ใช้ในทางการแพทย์ในสมัยยุคโบราณ คำว่า crisis
ในความหมายทางการแพทย์หมายถึงสภาวะที่จะต้องเลือกว่า
จะต้องปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งก่อน
เพราะถ้าไม่ตัดสินใจเลือกแล้วก็จะนำไปสู่ความตาย
ในแง่นี้ก็คือการเลือกว่าจะมีชีวิตอยู่หรือจะตาย
ดังนั้นการมีวิฤกติจึงเป็นการเปิดโอกาสเพื่อให้มีชีวิตรอดมานับเป็นพันๆ ปี
คำว่า crisis เข้ามามีบทบาทในฐานะคำทางการเมืองเมื่อราวศตวรรษที่สิบแปด
ทั้งนี้คำว่า crisis
เองเป็นคำที่โยงเข้ากับการปฏิวัติเพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเพราะเมื่อมี crisis
ก็จะต้องมีการเลือก เมื่อเลือกก็ต้องไม่เลือกที่จะอยู่แบบเดิม
เพราะถ้าไม่เลือกก็หมายความถึงความตาย crisis
จึงเป็นคำที่ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อหลีกหนีความตาย ในแง่นี้คำว่า crisis
จึงมีความสำคัญต่อการปฏิวัติ (Revolution) โดยคำว่า Revolution
ก็มีความหมายที่เปลี่ยนแปลงไปจากความหมายเดิม
เพราะไม่ได้มีความหมายในการหมุนกลับหรือ ปฏิวัติ อีกต่อไป
แต่การปฏิวัติกลับกลายเป็นการมุ่งตรงไปข้างหน้าที่ดีกว่าหรืออีกนัยหนึ่งก็คือ
การอภิวัตน์ เป็นต้น
ความอยากหรือแรงปรารถนา (desire) ที่จะมีของใหม่หรือเป็นอะไรที่ใหม่ๆ
ในสภาวะสมัยใหม่ทำให้ crisis เป็นสิ่งที่มีความสำคัญและจำเป็นจนขาดไปไม่ได้ เพราะ
crisis จะทำให้มีการเปิดทางเลือกใหม่ๆ
ครั้นถ้าไม่เลือกก็จะต้องเผชิญกับความตายไปโดยปริยาย ถ้าจะว่าไปแล้วก็หมายความว่า
ถ้าจะไม่เอาของใหม่หรือไม่เปลี่ยนแปลงก็จะต้องตาย
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ฝ่ายมาร์กซิสซึ่งถือว่าเป็นผลิตผลสมัยใหม่เองมักจะอ้างถึงกงล้อประวัติศาสตร์ที่จะบดขยี้
(ตาย) ทุนนิยมหรือศักดินา โดยต้องอ้างอิงกับคำว่า crisis อยู่โดยตลอดมา
เช่นวิกฤติของระบบทุนนิยมอย่างไรก็ตามสำหรับมาร์กซิสแล้ว crisis
นั้นย่อมจะต้องไม่มีตลอดไป แต่จะต้องมีจุดสิ้นสุด เช่น
การสิ้นสุดของระบบทุนนิยมอันจะนำไปสู่ระบบสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์ในที่สุด
ในสภาวะสมัยใหม่ crisis ก็จะต้องดำรงอยู่ตลอดไม่มีการหมดไป
พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ที่ดำเนินไปด้วยแนวความคิดทางเวลาที่เป็นเส้นตรงยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
แม้ว่าจะมีการกล่าวว่า สภาวะสมัยใหม่ได้จบสิ้นไปแล้ว
จนนำไปสู่สภาวะที่ตามมาหลังสภาวะสมัยใหม่ (postmodernity) แล้วก็ตาม
แต่หลังสมัยใหม่เป็นสภาวะอะไร?เป็นแบบไหนก็ยังไม่มีความแน่ชัด ดังนั้น crisis
ก็จะเป็นตัวช่วยในการเปลี่ยนแปลง
ทั้งนี้เพื่อเป็นการเสริมสร้างให้เกิดสภาวะใหม่มีความเป็นสมัยใหม่อยู่ตลอด crisis
จึงมีเพื่อตอบสนองสภาวะสมัยใหม่ ในแง่นี้แล้ว crisis
จึงเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นของความเป็นสภาวะสมัยใหม่
สภาวะสมัยใหม่จะดำรงอยู่ไม่ได้ถ้าปราศจาก crisis ในแง่นี้ crisis
ก็ดูจะเป็นสภาวะที่จำเป็นถาวรมากกว่าที่จะเป็นช่วงหนึ่งของเวลา
สภาวะสมัยใหม่จึงต้องมี crisis อยู่ตลอดเวลา สภาวะของ crisis
จึงเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่อย่างถาวร เพราะ crisis
จะทำให้สภาวะสมัยใหม่มีความเป็นสมัยใหม่หรือมีการปฏิวัติอยู่ตลอดเวลา
สภาวะของการแสวงอะไรใหม่ๆ
ไม่ว่าจะเกิดขึ้นจากวิกฤติหรืออะไรก็ตามเป็นสภาวะทางจิตและความคิดที่ฝังรากลึกอยู่ในความเป็นสภาวะสมัยใหม่
ในความคิดทางประวัติศาสตร์ศิลปะ Micheal Fried เองก็เห็นว่า
ประวัติศาสตร์ของศิลปะตั้งแต่ Edouard Manet มาจนถึงกลางยุค 1960
นั้นก็ติดอยู่กับประเด็นเรื่องของตัวภาพเขียนเอง
การยึดติดอยู่กับแค่ประเด็นเรื่องภาพเขียนก็ทำให้ศิลปะมีลักษณะของการวิพากษ์วิจารณ์ตัวเองหรือสิ่งที่เรียกว่า
การปฏิวัติอย่างไม่ที่สิ้นสุด (perpetual revolution)
การปฏิวัติที่ไม่มีที่สิ้นสุดจึงไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ในงานศิลปะ
แต่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของสภาวะสมัยใหม่
ศิลปะสมัยใหม่ดำเนินไปตามตรรกะของสภาวะสมัยใหม่
ครั้นเมื่อมี crisis
ก็จำเป็นที่จะต้องกำหนดการดำเนินชีวิตแบบใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงความตายอันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสภาวะก่อนหน้าหรือดีต
ถึงแม้ว่าสภาวะสมัยใหม่จะเป็นเรื่องของความสำนึกทางเวลา
แต่สภาวะสมัยใหม่เป็นสภาวะแห่งการดำรงอยู่ไปด้วยในตัวด้วย
สภาวะสมัยใหม่ไม่ใช่แค่เรื่องของการสำนึก
การดำรงอยู่ที่มนุษย์สามารถจะกำหนดได้ว่าต้องการอะไร จะอยู่หรือจะตาย
ดังนั้นการจะอยู่จะตาย จะไปหรือจะอยู่
ก็เป็นสิ่งที่จะต้องแสดงออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด
ในแง่นี้การกำหนดความเป็นไปของตนเองทำให้แง่มุมของความเป็นสมัยใหม่มิได้ถูกจำกัดอยู่แต่ในมิติทางประวัติศาสตร์เท่านั้น
การดำรงอยู่ของความเป็นสภาวะสมัยใหม่ได้เข้ามาเป็นส่วนสำคัญของอัตลักษณ์และความเป็นตัวตนของบุคคล
ในแง่นี้ความหมายของสภาวะสมัยใหม่จึงเป็นเรื่องของการดำเนินชีวิตและสภาวะแวดล้อมของชีวิต
เมื่อเป็นดังนั้นเงื่อนไขของศิลปะที่ต้องการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเพื่อการสร้างสรรค์อันแสดงให้เห็นถึงการมีอะไรใหม่ๆ
ก็ไม่สามารถที่จะแยกออกจากเงื่อนไขทางสังคมได้


