ศิลปะ
หัตถกรรม สถาปัตยกรรม ประติมากรรม สันทนาการ
การรวมศูนย์ศิลปะของการกระจายตัวของศิลปะและการเมืองฯ
การรวมศูนย์ศิลปะของการกระจายตัวของศิลปะและการเมือง
จากสภาวะสมัยหลังใหม่สู่สภาวะสมัยใหม่
ธเนศ วงศ์ยานนาวา คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
สภาวะสมัยใหม่ในฐานสำนึกทางเวลาที่เป็นเส้นตรง
วิกฤติและการปฎิวัติ
สภาวะสมัยใหม่กับการรวมศูนย์และรวมสายตา
สภาวะหลังสมัยใหม่ที่เป็น ของเก่า
การกลับหัวกลับหางและความแปลกแยก
การดูดกลืนผู้ชมเข้าสู่สภาวะสมัยใหม่
วัตถุและบรรยากาศของศิลปะที่ไม่ยืนยาว
อาณาเขตที่หลากหลายของศิลปะกับการสิ้นสุดของความเป็นเอกเทศ
เส้นทางอนันต์ (infinity) ของอนาคต
วัตถุและบรรยากาศของศิลปะที่ไม่ยืนยาว
ถึงแม้ว่าศิลปะในแบบ ละครเวที
เหล่านี้จะถูกโหมกระพือจากความร้อนแรงทางการเมืองของยุคสมัย 1960 และ 1970
ของโลกตะวันตก ศิลปะแบบจัดวางก็ไม่ได้มีความชัดเจนในความหมายทางการเมืองแต่อย่างใด
ถ้าจะว่าไปแล้วเมื่อกาลเวลาผ่านไปพัฒนาการของศิลปะแบบนี้ก็ไม่มีความหมายในทางการเมืองเสียด้วยซ้ำ
นอกจากนั้นถ้าจะขยายต่อไปสู่ศิลปะแบบอื่นๆ อย่างเช่น Avant-Garde
แล้วก็จะเห็นได้ว่าพลังทางการเมืองของศิลปะแบบนี้หดหายไปในที่สุด
เพราะพลังในการต่อต้านของศิลปะแบบนี้ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันหลักของสังคมไปในที่สุด
เพราะในที่สุดก็ไม่สามารถที่จะต้านทานกับการปรับตัวของสถาบันศิลปะ
ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์หรือแกลลอรี่ได้
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้กลไกตลาดซึ่งก็ทำให้พลังของศิลปะแบบนี้เสื่อมไปในที่สุด
ศิลปะที่หลุดกรอบจึงเป็นเพียงศิลปะที่มีพลังแบบม้าตีนต้นเท่านั้น
ความหวังทางการเมืองและการเปลี่ยนแปลงสังคมจากศิลปะจึงต้องพิจารณากันในอาณาเขตจำกัด
สำหรับการขยายตัวของศิลปะในลักษณะนี้อย่างน้อยๆ
ที่สุดกลับทำให้ความเป็นศิลปะไม่มีความชัดเจน การไม่ความชัดเจนว่าอะไรคือศิลปะ
การไม่ทำให้ศิลปะมีความชัดเจน
ไม่มีอาณาเขตที่แน่ชัดนั้นย่อมเปิดทางให้กับการตกเป็นเครื่องมือรับใช้
ในทำนองแบบเดียวกันกับการไม่มีอาณาเขตที่แน่ชัดระหว่างการเมือง เศรษฐกิจ สังคม
สาธารณะ ส่วนตัว แบบที่เกิดขึ้นในประเทศเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ในขณะที่ศิลปะสมัยใหม่นิยม (modernism)
ถือได้ว่าเป็นการประกาศอัตลักษณ์ใหม่ของกระฎุมพีในยุโรป
ส่วนอัตลักษณ์ของศิลปะจัดวางต้องการความโดดเด่นที่พร้อมจะเลือนหายไปในความเป็นฝูงชนมากกว่าที่จะมีความโดดเด่นคงทนอยู่ในสถาบันทางสังคมตามแบบเดิม
เพราะฝูงชนในเมืองไม่ว่าที่ใดก็มี มวล หรือจำนวนมากกว่าศิลปะอันน้อยนิด
ศิลปะการจัดวาง (installation art)
จึงเป็นเพียงการจับสิ่งแปลกปลอมวางลงไปในพื้นที่ของฝูงชนที่ไม่คุ้นเคยกับผลงานศิลปะ
ทั้งนี้ภายใต้ความไม่ชัดเจนและอะไรก็เป็นศิลปะได้ก็ทำให้ผู้คนกลับคุ้นเคยในวัสดุข้างของที่กลับกลายมาเป็นศิลปะ
ในโลกของศิลปะสิ่งที่คุ้นเคยจึงกลายเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคย
ศิลปะในสภาวะสมัยใหม่จึงเป็นกระบวนการของการทำลายความคุ้นเคย (defamiliarization)
เพราะในที่สุดแล้วทั้งผู้คนและศิลปะต่างก็เป็นเพียงสิ่งแปลกปลอมต่อกัน
เมื่อเป็นดังนั้นวัตถุศิลปะนั้นก็สูญสลายตัวเองไปกับฝูงชน
การเปลี่ยนแปลงให้ศิลปะสลายหายไปจากความเป็นศิลปะเองแสดงให้เห็นถึงความไม่ถาวรของศิลปะเฉกเช่นเดียวกันกับสรรพสิ่งต่างๆ
ในโลกนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าจะพิจารณาตามกรอบความคิดของความไม่เที่ยงของสรรพสิ่งแล้ว
ศิลปะเป็นเพียงสังขารที่ไม่มีความถาวร ไม่มีความเป็นอมตะ
ศิลปะจึงไม่ยืนยาวเฉกเช่นการไม่ยืนยาวของชีวิต ทั้งศิลปะและชีวิตจึงมีอายุที่สั้น
เพราะศิลปะโดยเฉพาะอย่างยิ่งศิลปะสมัยใหม่ไม่ได้เป็นศิลปะที่ตอบสนองแรงปรารถนา
(desire) แบบที่เกิดขึ้นในกรอบของคริสตศาสนา
ทั้งนี้ในกรอบคิดของคริสตศาสนาแล้วสุดท้ายมนุษย์สามารถที่จะแสวงความเป็นอมตะได้ในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า
แน่นอนนี่ไม่ใช่กรอบคิดที่ความไม่เที่ยง ความไม่แน่นอน
ศิลปะแบบที่สลายตัวเองดังราวกับเทปในภาพยนตร์โทรทัศน์ Mission Impossible
จึงเป็นศิลปะที่ก้าวข้ามพ้นความเป็นศิลปะ เพราะไม่ได้ยึดติดกับความคงทนถาวร
และความเป็นอมตะ เฉกเช่นการดำรงอยู่กับความเป็นอมตะของพระผู้เป็นเจ้า
แน่นอนความพยายามดังกล่าวเป็น การปฏิบัติการที่เป็นไปไม่ได้
ยกเว้นแต่ผู้ที่จะมีศรัทธาในศาสนาแบบหนึ่งที่จะเป็นพลังแห่งชีวิตภายใต้อ้อมกอดของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น
ทั้งนี้ก็เช่นเดียวกันกับสิ่งอื่นๆ
ผลงานการสร้างสรรค์ไม่ว่าจะเป็นวรรณคดีหรือศิลปะในสภาวะสมัยใหม่เป็นความพยายามในการหลีกหนีความตายตามที่ได้กล่าวมาแล้วถึง
Crisis และการปฏิวัติ
การหลีกหนีความตายของสภาวะสมัยใหม่เป็นการพุ่งเป้าไปสู่ความเป็นอมตะ
การสถาปนาให้ศิลปะยืนยาวภายใต้สภาวะสมัยใหม่จึงเป็นความพยายามในการหลีกหนีความตาย
แต่มุ่งแสวงหาความเป็นอมตะในวัตถุแม้ว่าจะเป็นในศิลปะก็ตามกลับเป็นลักษณะของความหลงใหลในวัตถุ
(fetishism)
ดังนั้นศิลปะที่ต้องการการปฏิวัติเพื่อดำรงความเป็นศิลปะสมัยใหม่และเป็นส่วนหนึ่งของสภาวะสมัยใหม่เอาไว้ก็จำเป็นที่จะต้องไม่ทำให้ศิลปะยืนยาว
ศิลปะที่ไม่ยืนยาวจึงเป็นศิลปะที่ก้าวข้ามพ้นศิลปะในกรอบของพระเจ้าผู้เป็นอมตะ
ในแง่นี้ศิลปะแบบจัดวางเป็นศิลปะที่เผชิญหน้ากับความเป็นศิลปะที่นำไปสู่การสลายความเป็นศิลปะ
ศิลปะที่พร้อมจะเผชิญหน้ากับความตายจนทำให้ ทวยราษฎร์เจริญสุข
อยู่ได้กับความตายดังราวกับการเจริญพรผ่านมรณานุสติ
ข้อความที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นดูจะเป็นการพิจารณาในแง่ของอภิปรัชญา
(metaphysics) ที่ไม่สอดคล้องกับกรอบคิดของสภาวะหลังสมัยใหม่
เพราะอย่างน้อยที่สุดอภิปรัชญาก็เป็นสิ่งที่แนวความคิดหลังสมัยใหม่ต่อต้าน
ทั้งนี้ภายใต้เงื่อนไขของศิลปะ กลไกตลาด นายหน้าศิลปะ ฯลฯ
ก็ทำให้ศิลปะหลีกเลี่ยงการเป็น สินค้า ไปไม่พ้น
ความพยายามในการหลีกหนีการเป็นสินค้าของศิลปะก็เป็นการต่อต้านการค้าทางศิลปะ
การต่อต้านตลาดการค้าศิลปะโดยเฉพาะศิลปะในฐานะ ทุนวัฒนธรรม (cultural capita)
(ในส่วนนี้แตกต่างไปจากความคิดของ Pierre Bourdieu)
ที่เป็นทุนเช่นเดียวกันกับการลงทุนในตลาดหุ้นอันเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนมากในช่วงของแนวทางเศรษฐกิจของประธานาธิบดี
โรนัลด์ แรแกน หรือที่รู้จักกันในนาม Reaganomic
ศิลปะจึงไม่ได้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าในทางสุนทรียะแต่เพียงอย่างเดียว
แต่ยังขยายผลไปสู่ส่วนอื่นๆ ในระบบเศรษฐกิจ
นี่เป็นการแสดงให้เห็นว่าอุดมคติทางศิลปะของสภาวะสมัยใหม่ไม่สามารถที่จะดำเนินไปได้ตามเป้าหมาย
พื้นที่ของศิลปะจึงขยายตัวมากกว่ารูปแบบของตัววัตถุศิลปะเอง


