ศิลปะ
หัตถกรรม สถาปัตยกรรม ประติมากรรม สันทนาการ
การรวมศูนย์ศิลปะของการกระจายตัวของศิลปะและการเมืองฯ
การรวมศูนย์ศิลปะของการกระจายตัวของศิลปะและการเมือง
จากสภาวะสมัยหลังใหม่สู่สภาวะสมัยใหม่
ธเนศ วงศ์ยานนาวา คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
สภาวะสมัยใหม่ในฐานสำนึกทางเวลาที่เป็นเส้นตรง
วิกฤติและการปฎิวัติ
สภาวะสมัยใหม่กับการรวมศูนย์และรวมสายตา
สภาวะหลังสมัยใหม่ที่เป็น ของเก่า
การกลับหัวกลับหางและความแปลกแยก
การดูดกลืนผู้ชมเข้าสู่สภาวะสมัยใหม่
วัตถุและบรรยากาศของศิลปะที่ไม่ยืนยาว
อาณาเขตที่หลากหลายของศิลปะกับการสิ้นสุดของความเป็นเอกเทศ
เส้นทางอนันต์ (infinity) ของอนาคต
อาณาเขตที่หลากหลายของศิลปะกับการสิ้นสุดของความเป็นเอกเทศ
ศิลปะต้องการอะไรที่มากไปกว่าตัวเองทำให้ศิลปะไม่สามารถที่จะดำรงอยู่ภายในกรอบที่กำหนดความเป็นเอกเทศของศิลปะที่อ้างอิงกับระบบศิลปะเองได้อีกต่อไป
อย่างน้อยๆ ที่สุดก็เห็นได้จากพื้นที่ทางเศรษฐกิจและความเป็นสถาบันของศิลปะ
สำหรับความเป็นสถาบันของศิลปะก็ปรากฎอยู่ในการที่ศิลปะต้องเชื่อมต่อกับพิพิธภัณฑ์
ประเด็นที่มีความสำคัญก็คือ เมื่อศิลปะเป็นสิ่งที่เป็นเอกเทศ
ศิลปะทำไมถึงต้องเข้าไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์?
ผลงานศิลปะเข้าไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์ได้อย่างไร?
สำหรับคำถามอันนี้เป็นคำถามที่เกิดขึ้นจากการที่ผลงานของศิลปินบางคนเท่านั้นที่สามารถจะเข้าไปอยู่ในสถาบันศิลปะได้
ด้วยความที่ศิลปะเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อกับสถาบันก็ทำให้ศิลปะกลับต้องการหรือพึ่งพาอาศัยอะไรอื่นๆ
นอกเหนือไปจากตัวศิลปะเอง เช่น ประวัติศาสตร์ ตลอดจนสถาบันและกลไกทางเศรษฐกิจอื่นๆ
ไม่ว่าจะเป็นสถานะของผู้เป็นเจ้าของผลงานศิลปะนั้นๆ
ราคาของศิลปะชิ้นนั้นที่เจ้าของได้จ่ายไป ด้วยองค์ประกอบต่างๆ
เหล่านี้ก็กลับทำให้ศิลปะไม่ได้ดำรงความเป็นศิลปะเอาไว้
ในส่วนของรูปแบบ (form)
ของตัวศิลปะเองนั้นแนวความคิดของศิลปะที่ต้องการใช้อะไรที่มากไปกว่าขอบเขตของตัวศิลปะเองปรากฏให้เห็นได้ในประเทศไทยช่วงพุทธทศวรรษที่
2520 แม้ว่าแนวทางศิลปะแบบนี้จะปรากฏให้เห็นในทศวรรษที่ 1960 และ 1970
ในสหรัฐอเมริกาแล้วก็ตาม
ประมาณเพียงไม่ถึงหนึ่งทศวรรษต่อมาผลงานศิลปะแบบที่ขยายขอบเขตในทำนองแบบศิลปะจัดวางมีปรากฏให้เห็นในงานของศิลปินที่ได้รับการศึกษามาจากสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นดินแดนที่แนวความหลังสมัยใหม่ได้รับความนิยมอย่างเฟื่องฟูอย่างมาก
จนกระทั่งในราวพุทธทศวรรษที่ 2530 แนวทางศิลปะแบบนี้ก็ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง
และขยายตัวต่อมาเรื่อยๆ จนทำให้พุทธทศวรรษที่ 2530
เป็นช่วงที่สภาวะสมัยหลังใหม่อยู่ในกระแสมากขึ้น
แนวทางดังกล่าวปรากฏให้ในศิลปะหลากหลายแง่มุม เช่น ภาพถ่าย
ในขณะเดียวกันยุคทองของเศรษฐกิจฟองสบู่ที่ต่อเนื่องตั้งแต่ปลายรัฐบาลพลเอกเปรมผ่านมาถึงรัฐบาลพลเอกชาติชายมาก็ขยายตัวอย่างเต็มที่ไม่ว่าจะเป็นในอาณาเขตใด
จนถึงจุดจบในปี พ.ศ. 2540
ภายใต้เงื่อนไขดังกล่าวคุณค่าทางเศรษฐกิจของศิลปะก็ดำเนินไปตามตรรกะของเศรษฐกิจ
ศิลปะในฐานะที่เป็นสินค้าทำให้ศิลปะไม่สามารถที่จะคงคุณค่าเชิงสุนทรียะเอาไว้ได้ตามที่มุ่งหวังไว้
ศิลปะเพื่อและในการค้าจึงไม่ได้มีแต่เพียงคุณค่าเชิงสุนทรียะ
การเพิ่มคุณค่าทางเศรษฐกิจทำให้อาณาเขตของศิลปะไม่สามารถที่จะบรรลุถึงความเป็นเอกเทศ
(ซึ่งตามจริงก็ไม่เคยทำได้ตามเป้าหมาย)
ไม่เพียงแต่เท่านั้นสภาวะความเป็นวัตถุของศิลปะก็ไม่ได้มีขอบเขตที่ชัดเจนอีกต่อไป
ในขณะเดียวกันศิลปะและสภาพแวดล้อมหรือส่วนที่ไม่ได้เป็นศิลปะไม่ได้มีความชัดเจนอีกต่อไป
ไม่ว่าจะเป็นศิลปะแบบจัดวาง ศิลปะจำกัดด้วยพื้นที่ทางกายภาพที่มีตำแหน่งเฉพาะ
(site) ฯลฯ
เมื่อไม่มีการแบ่งอาณาเขตก็ย่อมทำให้ วัตถุและสภาพแวดล้อม
สามารถที่จะเป็นได้ทั้งศิลปะและไม่เป็นศิลปะในเวลาเดียวกัน
พรมแดนของศิลปะไม่มีความชัดเจน ในขณะเดียวกันนี่เท่ากับเป็นการขยายพื้นที่ของศิลปะ
หรือถ้าจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ศิลปะดึงเอาทุกสิ่งทุกอย่างเข้ามาสู่ความเป็นศิลปะ
สิ่งที่อยู่ภายนอกที่ไม่เคยเป็นศิลปะที่มีจำนวนเป็นอนันต์ (infinity)
ถูกดูดกลืนเข้ามาเป็นศิลปะ ดังราวกับศิลปะเป็น หลุมดำ (Black Hole)
ที่ดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างเข้ามา
เมื่อนั้นก็หมายความว่าทุกอย่างเป็นไปได้ที่จะมีความเป็นศิลปะ
เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้ที่จะเป็นศิลปะ การแจวเรือ การนั่งแท๊กซี่
การขายเฉ๋าก๊วย ฯลฯ ก็สามารถที่จะเป็นศิลปะได้ตามการกำหนดของศิลปิน เมื่อเป็นดังนี้
การเปิดกว้าง
ที่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีวิตในสภาวะสมัยใหม่ก็ปรากฏให้เห็นในศิลปะ
ทั้งนี้เพราะในสภาวะสมัยใหม่ไม่ได้มีอะไรที่ถูกกำหนดมาก่อนล่วงหน้าจากภายนอก
การเปิดกว้างย่อมทำให้ทางเลือก (choices) เป็นไปได้
ในแง่นี้การกระทำทางศิลปะในแบบที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนจริงๆ แสดงให้เห็น
ไม่เพียงแค่การมีทางเลือกและเสรีภาพ
แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความเป็นเอกเทศของศิลปะในสภาวะสมัยใหม่มากกว่าเดิม
แม้ว่านี่อาจจะถูกโจมตีว่าเพิ่มความเข้มข้นให้กับความเป็นอัตวิสัยของศิลปินก็ตาม
แต่เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างถูกดูดกลืนเข้ามาแล้วก็หมายความว่าสภาวะอัตวิสัยและวัตถุวิสัยย่อมเป็นสิ่งที่หาไม่ได้อีกต่อไป
ศิลปะที่สร้างสายสัมพันธ์กับคนอื่นๆ
ยังทำให้สุนทรียะมีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นแบบที่ภัณทารักษ์ฝรั่งเศส Nicolas Bourriaud
เรียกว่า สุนทรียะเชิงสัมพันธ์ (relational aesthetics)
สุนทรียะที่แต่เดิมจำกัดอยู่แต่เพียงกลุ่มแคบๆ มากกว่าที่จะเป็นสาธารณะวงกว้าง
การสร้างสุนทรียะเชิงความสัมพันธ์เปิดโอกาสให้ผู้คนจำนวนมากเข้ามามีบทบาทในศิลปะ
ในแง่นี้ก็เท่ากับเป็นการขยายความเป็นประชาธิปไตยให้กับศิลปะไปในตัว เช่น
การเอาเด็กมานั่งระบายสีบนโต๊ะนักเรียน ฯลฯ
ศิลปะแบบนี้ทำลายลักษณะทางชนชั้นของศิลปะอันเป็นที่รู้กันดีมาโดยตลอด
เพราะแม้กระทั่งการทำลายศิลปะชั้นสูงและชั้นต่ำก็ไม่สามารถที่จะทำลายความแตกต่างของโครงสร้างทางชนชั้นในพื้นที่ของศิลปะได้
แต่ถึงขนาดนั้นก็การขยายตัวของศิลปะในส่วนนี้ก็ยังคงอยู่ในวงจำกัดอยู่ดี
เพราะไม่สามารถที่จะรวบรวมเอาทุกๆ คนเข้ามาได้
ศิลปะตามแนวทางแบบ สุนทรียะเชิงสัมพันธ์
ก็ยังเปิดโอกาสให้มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งและบทบาท เช่น
จากศิลปินไปเป็นคนผัดก๋วยเตี๋ยว ศิลปะที่เรียกว่า un-art หรือ อศิลปะ
แบบนี้เป็นแนวทางศิลปะที่โยงใยเข้ากับอิทธิพลความคิดของพวก Situationist
ที่ย้ำถึงอัตลักษณ์ที่แตกต่างและเปลี่ยนแปลงไปมากกว่าจะเป็นอัตลักษณ์ที่หยุดนิ่งด้วยการเป็นศิลปินแต่เพียงอย่างเดียว
อัตลักษณ์ที่มีความลื่นไหล (fluidity) พร้อมจะเปิดตัวกับสิ่งใหม่ๆ ให้ศิลปะ
ทั้งนี้หนึ่งในเป้าหมายของศิลปะก็คือ การได้คุณค่าใหม่ๆ และความสนุกสนาน
โดยเฉพาะความสนุกสานที่ได้จากการ เล่น ในพื้นที่ของศิลปะและชีวิต
สำหรับบุคคลสำคัญของกลุ่ม Situationist ก็คือ Guy Debord
สำหรับปัญญาชนชาวฝรั่งเศสผู้นี้แตกต่างไปจากปัญญาชนคนอื่นๆ ของประเทศฝรั่งเศส
เพราะเขาไม่เคยมี ครู แบบปัญญาชนคนอื่นๆ ของฝรั่งเศส
เขาไม่มีปริญญาจากสถาบันการศึกษาชั้นสูงแบบปัญญาชนฝรั่งเศสคนอื่นๆ
เขาไม่เคยได้รับทุนการเรียนดีจากรัฐบาลเพื่อเติบโตขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลแบบปัญญาชนอื่นๆ
ชีวิต
ด้วยพื้นฐานแบบนี้ก็ทำให้เขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องดำรงชีวิตเพื่อเป็นผู้สืบทอดจารีต
สถาบันการศึกษาจึงไม่สามารถที่จะตรึงเขาได้ โดยชีวิตของเขาเริ่มต้นจาก
ซากปรักหักพัง เขาไม่มีงานทำเป็นหลักแหล่ง ไม่มีครอบครัว ผลพวงต่างๆ
เหล่านี้ทำให้เขาดำรงอยู่อย่างเสรี ไม่ยึดติดอยู่กับสถาบันใดๆ ทั้ง Cornelius
Castoriadis และ Jean-Francois Lyotard จึงไม่สามารถที่จะดึงดูดให้เขาอยู่ในกลุ่ม
Socialisme ou Barbarie เอาไว้ได้ ดังนั้นสิ่งที่เขาต้องการจึงเป็นการแตกหัก
ปฏิวัติเปลี่ยนแปลง
Debord ยอมรับบทบาทของการพักผ่อนนอนเล่น ความขี้เกียจ การดื่ม
การเดินเรื่อยเปื่อยไปตามย่านต่างๆ ของเมือง ฯลฯ ถ้าจะกล่าวกันอย่างง่ายๆ
ชีวิตที่อยู่ตรงกันข้ามกับความเคร่งเครียดแบบวิชา
ชีวิตที่ไร้เสียงตลกในโลกของปัญญาชนย่อมไม่ใช่เส้นทางที่เขาต้องการ
ด้วยชีวิตที่ตรงกันข้ามกับจารีตของปัญญาชาน
เขาก็พยายามจะไม่เขียนหนังสือหรือนำเสนอสิ่งประเทืองปัญญาต่างๆ
ด้วยความเหตุผลที่ว่าจะหยุดยั้งการถ่ายทอด
เพราะการเขียนการตีพิมพ์ดำเนินไปเพื่อการถ่ายทอด
เขาจึงให้ความสำคัญกับสิ่งที่ดำรงอยู่ที่ตรงนั้นมากกว่าที่จะขยายขอบเขตออกไปเพื่อให้เป็นที่รู้จัก
ทุกสิ่งทุกอย่างจบสิ้นลงที่ตรงนั้น
ด้วยพื้นฐานทางความคิดที่ว่าทฤษฎีเป็นเพียงแค่ยุทธวิธีหรือยุทธศาสตร์
ทฤษฎีเปรียบเสมือนหน่วยทหารในสงคราม เมื่อสงครามจบสิ่งต่างๆ
เหล่านี้ก็ไม่มีความหมาย ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องเก็บรักษาเอาไว้
เขาปฏิวัติความคิดของบรรดาปัญญาชนฝรั่งเศสด้วยการศิลปะในฐานะเป็นเครื่องมือในการต่อสู้กับสังคมกระฎุมพี
เขาใช้ตัวของเขาเองเป็นโครงการศิลปะหรือทำตัวของเขาเองเป็นศิลปะโดยไว้ว่าศิลปะไม่จำเป็นที่จะต้องจำกัดขอบเขตของตัวเอง
แต่จำเป็นที่จะต้องขยายอาณาเขตของตัวเองออกไป
โดยเป้าหมายของการต่อสู้นี้ก็มีเพื่อการทำลาย
แนวความคิดเรื่องความสุขของพวกกระฎุมพี
การต่อสู้นี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในระดับชีวิตประจำวัน แต่เป้าหมายในการต่อสู้ของพวก
Situationist นั้นมีความดุเดือดมากกว่าฝ่ายอื่นๆ
เพราะไม่ได้ต้องการแค่การเปลี่ยนแปลงทางสังคม แต่ต้องการจะมีอารยธรรมอันใหม่
แต่ความหวังในการใช้ศิลปะเป็นหนทางในการต่อสู้ก็ริบหรี่ในช่วงทศวรรษที่
1960 ถึงกระนั้นก็ดีพวก Situationist ก็มีความเห็นว่า
ศิลปะที่คงทนถาวรสามารถที่จะนำไปแลกเปลี่ยนได้ ขายได้ จะต้องยกเลิก
ในขณะเดียวก็ต้องยกเลิกการความสำคัญกับแนวความคิดเรื่องของการเกิดขึ้น อุบัติขึ้น
ศิลปะในฐานะที่เป็นปรากฏการณ์อันเป็นกระบวนการ (process)
แต่ก็พยายามก้าวข้ามพ้นช่วงเวลาของศิลปะ (artistic moments) และ
ช่วงเวลาแห่งความซ้ำซาก (moment of banality) ด้วยการทำให้ศิลปะกลายเป็นวิถีชีวิต
(way of life) เมื่อเป็นวิถีชีวิตก็หมายความว่า จะไม่มีช่วงเวลา
เพราะทุกเวลาเป็นศิลปะหมด
โดยในขณะเดียวกันชีวิตประจำวันที่ซ้ำซากน่าเบื่อก็กลับกลายเป็นศิลปะที่ให้ความน่าตื่นเต้น
โดยความตื่นเต้นเหล่านี้จะดำรงอยู่ได้ตลอดเวลาตราบใดก็ตามที่แนวความคิดดังกล่าวไม่ได้สถาปนาความเป็นเจ้า
ความคิดดังกล่าวไม่ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของระบบ ถ้าจะกล่าวอย่างง่ายๆ
ความคิดการปฏิวัติจำเป็นที่จะต้องมีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
เมื่อมีการปฏิวัติตลอดเวลาความคิดของพวก Situationist จึงไม่ต้องการ สาวก
ไม่ต้องการเป็นคนดังแบบดารา
แต่แรงปรารถนาที่จะไม่มีสาวกไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ไม่มีผู้คนเดินตามรอย
สำหรับการทำให้ชีวิตเป็นศิลปะหรือการทำให้เรื่องเคร่งเครียดกลายเป็นเรื่องสนุกสนานไม่ได้หมายความว่าศิลปะทำการปฎิวัติที่จำกัดพื้นที่
การนำเอาศิลปะออกนอกพื้นที่ของสถาบันศิลปะ แต่ดังที่นักปรัชญาฝรั่งเศส Jacques
Ranciere ตีความคิดของ Fredrich Schiller ไว้ว่า
นี่เป็นการขยายพื้นที่ของศิลปะเพื่อเชื่อมโยงเข้ากับชีวิต
ศิลปะจึงไม่ได้จำกัดอยู่แต่ในพื้นที่ของตัวเองอย่างโดดๆ
แต่ยังมีเกี่ยวข้องกับส่วนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ศิลปะด้วย แต่สภาวะของการรวมสิ่งอื่นๆ
เข้ามาไว้ในศิลปะในแง่หนึ่งแล้วก็อาจจะถือได้ว่าเป็นกระบวนการของความเป็นองค์รวม
(totality)
แต่กระบวนการของการเป็นองค์รวมก็เปิดศักยภาพของการขยายตัวของศูนย์หรือนำไปสู่การรวมศูนย์ได้ในเวลาเดียวกันกับที่ศิลปะจะมีลักษณะของพื้นที่หลากหลาย
(heteronomy) ไปพร้อมกัน
แต่ศิลปะในลักษณะแบบนี้ก็ทำให้ศิลปะกลายเป็นเรื่องของประสบการณ์ชีวิต
เมื่อเป็นประสบการณ์ชีวิตก็ทำให้ไม่สามารถแยกออกไปได้ว่าเป็นศิลปินกับคนขับสามล้อ
คนขายก๋วยเตี๋ยว นั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร
เพราะในชีวิตไม่ใช่จะมีแต่เพียงศิลปะเท่านั้น ชีวิตมีอะไรอื่นๆ อีกมากมาย
แม้ว่าการทำให้ชีวิตเป็นศิลปะดูเหมือนกับจะเป็นการยกระดับชีวิตก็ตาม
แต่ศิลปะก็กลับเป็นศูนย์มากกว่าชีวิต
การยึดติดอยู่กับศิลปะเพราะคิดว่าศิลปะเป็นสิ่งที่ยืนยาวเป็นเพียงการหลีกเลี่ยงไม่เผชิญหน้ากับความตาย
ทั้งที่ตามจริงแล้วการเผชิญหน้ากับความตายเป็นรากฐานทางปรัชญาที่สำคัญทั้งในปรัชญาของกรีกโบราณและปรัชญาในอินเดียและภูมิภาคใกล้เคียง
ศิลปะในฐานะผลพวงของสภาวะสมัยใหม่จึงขาดคุณสมบัติทางอภิปรัชญาในการดำเนินชีวิตที่มุ่งสู่ความเป็นปรมัตถ์
การเผชิญหน้ากับความตายทำให้สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงและนำไปสู่สิ่งใหม่
เพราะการเผชิญหน้ากับความตายผลักดันให้การดำรงชีวิตและการมีชีวิตอยู่แบบอย่างไม่หยุดนิ่งเกิดขึ้นได้
นี่เป็นการเปิดโอกาสให้กับการเปลี่ยนแปลงชีวิต
แม้ว่าเป้าหมายของการเปลี่ยนแปลงชีวิตจะใช้ศิลปะเป็นตัวกลาง
การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงทั้งชีวิตและศิลปะในเวลาเดียวกัน
ความคิดแบบนี้ดูจะเป็นความคิดที่โรแมนติคเป็นอย่างมาก
แต่การกระทำที่โรแมนติคเป็นการกระทำที่ละเมิดกฎเกณฑ์ของสังคมดังราวกับนิยายรักอัศวินที่ละเมิดข้อห้ามทางชนชั้น
นิยายที่กลายมาเป็นนิยายรักโรแมนติคถูกประนามว่าเพ้อฝันจนถูกขนานนามาว่าเป็น
นิยายน้ำเน่า
แต่นิยายน้ำเน่าต่างหากที่เมื่อใดก็ตามมีการปฏิบัติกันขึ้นมาจริงแล้วก็ทำให้ระเบียบทางชนชั้นและระเบียบทางสังคมของชนชั้นกลายเป็นสิ่งที่ต้องถูกละเมิด
เมื่อนั้นนิยายน้ำเน่าก็กลายเป็น นิยายน้ำทิพย์
เพราะส่งเสริมและสร้างให้ผู้คนละเมิดกฎเหล็กทางชนชั้นและสังคม
การละเมิดนี้ก็คือเป้าหมายสำคัญของศิลปะสมัยใหม่
เพราะถ้าไม่ละเมิดก็ไม่ได้มีอะไรใหม่
ถ้าพิจารณาในแง่นี้ย่อมทำให้ศิลปะเสื่อมมนต์ขลังภายใต้กฎเหล็กของความเป็นสถาบัน
ดังนั้น การเล่น
กับสิ่งที่ดูไม่จริงจังก็สามารถจะทำให้กฎเหล็กของความเป็นสถาบันถูกสั่นคลอนได้
แนวความคิดเรื่อง เล่น ได้กลายมาเป็นฐานคิดสำคัญตั้งแต่ Kant และ
Schiller
มาจนกระทั่งโดยเฉพาะในศตวรรษที่ยี่สิบที่ใช้เป็นฐานในการต่อต้านหรือทางเลือกให้กับวิถีชีวิตของสังคมอุตสาหกรรมที่ต้องการระเบียบวินัย
ความคิดเรื่องการเล่นถูกนำไปเชื่อมโยงกับกรอบความคิดเรื่องสุนทรียะ
ดังจะเห็นได้จากความคิดของ Johan Huizinga
ที่ว่าในการละเล่นร่างกายของมนุษย์จะบรรลุถึงความงามขั้นสูงสุด
ความพยายามในการทำให้การเล่นเป็นสภาวะของการดำรงชีวิตเป็นแนวความคิดที่พบได้ในงานของนักปรัชญาเยอรมันอย่าง
Hans-Georg Gadamer โดยการเล่นถูกจัดให้เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับการทำงาน (work)
ในขณะที่ Theodor Adorno เองพยายามที่จะปฏิเสธศิลปะในกรอบของการเล่น จาก Kant
มาจนถึง Huizinga
พยายามทำให้การเล่นอันเป็นกิจกรรมที่ไม่ได้มุ่งหวังหรือมีเป้าอะไรจริงจังคือ
กิจกรรมที่หลุดออกจากกรอบการทำงานอันบ่งบอกถึงความเคร่งเครียดและการมีวินัย
ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่เรื่องของความสนุกสนานบันเทิง
งานศิลปะจึงไม่ใช่เรื่องของการทำงานของการแสวงหาหนทาง (means) ไปสู่เป้าหมาย (end)
อะไรบางอย่าง
ศิลปะไม่ใช่เรื่องของวิถีทางไปสู่เป้าหมายอื่นไม่ว่านั่นจะเป็นเป้าหมายที่เป็นความสนุกสนานหรือจะเป็นศีลธรรม
ศิลปะเป็นเรื่องของการสร้างความสมดุลระหว่างคุณลักษณะของขั้วความขัดแย้งต่างๆ
(binary opposition)
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความสนุกสนานจากการเล่นหรือจะเป็นเรื่องของความรู้และการอบรมสั่งสอนที่ศิลปะให้กับผู้ชม
แต่ในกระบวนการของการอบรมสั่งสอนศีลธรรมก็เป็นไปไม่ได้ที่จำเป็นจะต้องมีระเบียบวินัย
อย่างไรก็ตามโดยทั่วๆ
ไปแล้วความสนุกสนานเป็นสิ่งที่หาไม่ได้จากความเป็นสถาบัน (institution)
การทำงานศิลปะจัดวาง (installation)
อันเป็นศิลปะที่ต้องใช้พื้นที่นอกเหนือไปจากสถาบันศิลปะนั้นเท่ากับว่า
เป็นการประกาศให้เห็นถึงการมีศิลปะแบบใหม่ของศิลปินรุ่นใหม่และชนชั้นใหม่ๆ
ที่เคลื่อนตัวขึ้นมาในโครงสร้างของชนชั้นหลังจากการขยายตัวของระบบการศึกษาที่มีไว้เพื่อตอบสนองแรงงาน
นี่ถือได้ว่าเป็นการประกาศอัตลักษณ์แบบใหม่ที่สามารถจะขยายตัวไปได้ในทุกหนแห่ง
อัตลักษณ์ที่สามารถจะดึงสรรพสิ่งต่างๆ ให้เข้ามารวมตัวเป็นศิลปะ
ในทำนองเดียวกันกับการที่ระบบทุนนิยมสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสินค้า
ทุกสิ่งทุกอย่างถูกเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นศิลปะ
อย่างไรก็ตามเป้าหมายที่สำคัญของศิลปะในแนวทางแบบนี้กลับต้องการที่จะปฏิเสธความเป็นสินค้าของศิลปะ
ตลอดจนหลักการของตลาดที่แพร่กระจายอย่างมากในช่วงของการปรับค่าเงินบาทสมัยช่วงรัฐบาลพลเอกเปรม
สำหรับในทศวรรษของโลกาภิวัตน์ไม่เพียงแต่จะก่อให้เกิดความหวาดวิตกว่า
จะมีการรวบเอาทุกอย่างในโลกให้มาอยู่ภายใต้การมีศูนย์กลางเดียว
ความหวาดกลัวที่โลกทั้งใบอยู่ภายใต้มาตรฐานเดียวกัน
แต่ภายในโลกาภิวัตน์นั้นสิ่งที่ปรากฏมาก่อนหน้าโลกาภิวัตน์ก็คือ
กระบวนการทำให้เป็นท้องถิ่นที่กลับเป็นป้อมปราการอันเหนียวแน่นมากเกินไปกว่าจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างจะดูดรวมเข้ามาสู่ศูนย์กลางได้
ความหลากหลาย (heterogeneity) จึงเป็นผลพวงที่ดำเนินควบคู่ไปกับความเป็นเอกพันธุ์
(homogeneity) ศิลปะที่อยู่นอกสถาบันจึงเป็น ส่วนย่อย
ที่มาจากสำนึกแห่งการหลีกหนีการดูดรวมเอาทุกอย่างเข้าสู่ศูนย์กลาง
แบบเช่นที่เคยเกิดขึ้นใน กระบวนการเก็บวัตถุต่างๆ
จากทุกมุมโลกเข้ามาไว้ในพิพิธภัณฑ์
วัตถุที่จับต้องได้ที่เรียกว่าศิลปะกลายเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่อย่างถาวรและทรงไว้ซึ่งคุณค่าที่ไม่มีวันจะสลายหายไปไหน
พิพิธภัณฑ์และแกลลอรี่จึงไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมหรือสังคมได้
ความคิดที่พยายามจะทำให้แกลลอรี่หรือพิพิธภัณฑ์สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ก็แสดงให้เห็นถึงการยึดสถาบันศิลปะเป็นศูนย์กลางมากกว่าที่จะให้ศิลปะทำลายความเป็นศูนย์กลาง
ความคิดที่จะให้ศิลปะเป็นตัวขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงก็เป็นเพียงความฝันดีฝันเด่นเท่านั้น
เพราะในบรรดาอาณาเขตต่างๆ
ศิลปะเป็นเพียงอาณาเขตเดียวที่พยายามแสดงความเป็นเอกเทศให้ได้มากที่สุด
แต่นั่นก็เป็นเพียงอาณาเขตเดียวจากหลายๆ อาณาเขตในสภาวะสมัยใหม่
ถึงกระนั้นก็ดีกิจกรรมของวงการศิลปะดูจะเป็นวงการที่มีกิจกรรมสาธารณะเกิดขึ้นอยู่เนืองๆ
กิจกรรมทางศิลปะที่ก่อให้เกิดการกระตุ้นเร้า เช่น
การจัดงานการเยือนบ้านศิลปินไทยนั้นอาจจะถือได้ว่าเป็น อาณาเขตสาธารณะเคลื่อนที่
(mobile public sphere) แต่นั่นย่อมไม่ใช่อาณาเขตในสภาวะหลังสมัยใหม่
เพราะอย่างน้อยที่สุดการก่อตัวของอาณาเขตสาธารณะเป็นสิ่งที่ปรากฎให้เห็นมาแล้วตั้งแต่ศตวรรษที่สิบแปด
สำหรับในกรณีของไทยพื้นที่ของสิ่งตีพิมพ์และวรรณคดีนับตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ยี่สิบก็ถือได้ว่าเป็นตัวอย่างของการสร้างอาณาเขตสาธารณะ
ในแง่นี้กิจกรรมของการสังสรรค์ร่วมกับศิลปินเป็นเงื่อนไขของการก่อตัวของการจำแนกอาณาเขตของ
อาณาเขตสาธารณะ ที่มีปฏิสัมพันธ์กับศิลปะ
สำหรับศิลปะแบบจัดวางหรือ ศิลปะเชิงละครเวที ตามกรอบคิดของ Michael Fried
ที่พยายามทำให้ ทุกสิ่งทุกอย่าง (วัสดุ ความเป็นวัตถุ)
สามารถมลายหายไปในที่สุดนั้นก็ทำให้ศิลปะในฐานะที่เป็นวัตถุที่มีขอบเขตหายไปพร้อมกับพื้นที่และสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ในการประเมินค่าทางศิลปะก็จำเป็นที่จะต้องรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่เป็นเนื้อใน
(intrinsic) ที่ดำรงอยู่ในวัตถุแห่งความเป็นศิลปะนั้นๆ
อะไรที่อยู่นอกเหนือไปจากนั้นเป็นสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้อง ถ้าจะกล่าวอย่างง่ายๆ ก็คือ
การมีกรอบ (frame) อะไรที่อยู่ในกรอบก็เป็นศิลปะ อะไรที่อยู่นอกก็ย่อมไม่เกี่ยวข้อง
ภายใต้ ศิลปะเชิงละครเวที
เส้นแบ่งระหว่างศิลปะกับสิ่งที่ไม่ใช่ศิลปะไม่มีความชัดเจนอีกต่อไป กรอบ
ของความเป็นศิลปะเป็นสิ่งที่หายไป
ความเป็นวัตถุของศิลปะไม่ได้ดำรงอยู่ได้ด้วยตนเองอีกต่อไป
สภาวะของการเป็นศิลปะต้องการอะไรที่มากไปกว่าตัววัสดุของศิลปะเอง
ความเป็นศิลปะจึงไม่ได้เป็น ศิลปะที่พึ่งตนเอง ได้แบบเดิม
ความเพียงพอในตัวเองของศิลปะเป็นสิ่งที่สูญสิ้นไป ศิลปะจึงไม่รู้จักคำว่าเพียงพอ
เพราะอย่างน้อยๆ ที่สุดถ้าต้องมีการ ปฏิวัติ เปลี่ยนแปลงก็ต้องไม่รู้จักคำว่า
เพียงพอ
ไม่เพียงแต่เท่านั้นศิลปะที่ต้องพึ่งพาอะไรที่นอกเหนือไปจากตัวศิลปะเองจึงเป็นศิลปะแห่งการรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียว
(totalizing art) เพราะรวมเอาทุกสิ่งทุกอย่างเข้ามา
แนวทางศิลปะแบบนี้จึงให้สำนึกที่เกี่ยวข้องกับเรื่องธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ศิลปะในแนวที่ต้องการขยายตัวแบบนี้ก็เป็นแนวทางสำคัญสำหรับการต่อต้านสภาวะสมัยใหม่และเทคโนโลยี
แต่ทั้งศิลปะและเทคโนโลยีในสภาวะสมัยใหม่และหลังสมัยใหม่ต่างก็มีพลังปรารถนาในการขยายตัวด้วยกันทั้งคู่
เส้นทางของศิลปะในสภาวะสมัยใหม่ก็เช่นเดียวกันกับสิ่งอื่นๆ
ที่ต่างก็ต้องการที่จะขยายตัว
แม้ศิลปะในแนวทางแบบนี้จะรวมเอาทุกสิ่งทุกอย่างเข้ามา แต่สิ่งหนึ่งที่ศิลปะ
(ไทย) ในช่วงทศวรรษของ พ.ศ. 2530 ไม่ได้พยายามที่จะ รวม เข้ามาไว้ก็คือ สุนทรียะ
นอกจากนั้นนี่ยังไม่ต้องพิจารณาใช้มาตรฐานการสนับสนุนผลงานศิลปะด้วยทฤษฎีและปรัชญาแบบที่เกิดขึ้นในคำอธิบายของศิลปะแนวทางการจัดวางแบบต่างๆ
ที่หันไปใช้คำอธิบายของปรัชญาและทฤษฎี เช่น แนวปรากฏการณ์วิทยา (phenomenology)
หรือจะเป็นปรัชญาของ Ludwig Wittgenstein แน่นอนการอ้างอิงกับทฤษฎี
(คนผิวขาวคริสเตียน)
เป็นสิ่งที่ไม่ใช่แนวทางที่ได้รับความนิยมกันมากมายนักสำหรับการดำเนินงานทางศิลปะของไทย
ตลอดจนเรื่องราวอื่นๆ ของไทยด้วยที่ไม่ได้ต้องการมุ่งไปสู่พื้นที่นามธรรมทางทฤษฎี
ในแง่นี้เป้าหมายของความเป็นสมัยใหม่นิยม (modernism)
ทางศิลปะนั้นก็ยังคงอยู่ที่การก้าวข้ามพ้นสุนทรียะ (ในส่วนของความงาม)
แต่การไม่ได้ให้ความสำคัญหรือปฏิเสธสุนทรียะไม่ได้ทำให้ ศิลปะไทยก้าว
เข้ามาสู่สภาวะหลังสมัยใหม่ ในขณะเดียวกันตามกรอบคิดของ Lyotard
สภาวะหลังสมัยใหม่ก็เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ตั้งแต่เริ่มแรกแล้วตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น
ในทางตรงกันข้ามสภาวะสมัยใหม่ต่างหากที่จะต้องพยายามบรรลุให้ได้
เพราะศิลปะของสภาวะสมัยใหม่ก็ไม่ต้องการที่จะตกอยู่ภายใต้อาณาเขตทางการเมือง
การตลาด ฯลฯ
แต่ในขณะที่รัฐประชาชาติไทยและศิลปินไทยจำนวนมากก็พยายามที่จะดึงเอาศิลปะมา
รับใช้ เช่น ศิลปะกับการพัฒนาประเทศ การเป็นศิลปินแห่งชาติ ฯลฯ
ในอีกส่วนหนึ่งที่มีลักษณะตรงกันข้ามลักษณะสภาวะของความเป็นสภาวะสมัยใหม่กลับเฉิดฉายขึ้นมาอย่างเต็มที่ด้วยการขยายฐานศิลปะ
เช่น การเปิดโอกาสให้การมีส่วนร่วมของผู้คนอื่นๆ
ที่ไม่ใช่ศิลปินโดยอาชีพได้ขยายตัวอย่างเต็มที่ แต่ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่านี่ก็คือ
การขยายฐานศิลปะในเชิงอำนาจที่มุ่งจะผนวกรวบรวมเอาส่วนต่างๆ ของอาณาเขตต่างๆ
เพื่อความเป็นสภาวะสมัยใหม่
การมีส่วนร่วมในศิลปะที่กล่าวถึงนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีลักษณะของความเป็นสาธารณะ
มีลักษณะของที่เป็นจริงหรือสิ่งที่เกิดขึ้นจากการกระทำจริงๆ
ไม่ใช่โลกแห่งความเหนือจริง (virtual reality)
หรือแม้กระทั่งย่อมจะต้องไม่ใช่เรื่องของจินตนาการที่เกิดขึ้นในสมองของปัจเจกชน
ผู้ที่จะเข้ามามีส่วนร่วมจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรากฏอยู่ที่ตรงนั้น
ตลอดจนการปรากฏตัวของคนเหล่านี้ก็จะต้องมีพฤติกรรมอะไรบางอย่างที่สอดคล้องกับกระบวนการแสดงและการมีส่วนร่วมในศิลปะ
อย่างน้อยๆ
ที่สุดก็ต้องทำตัวสำรวมไม่ไปกีดขวางจนทำให้กระบวนการสร้างศิลปะไม่สามารถที่จะดำเนินไปได้
ศิลปะแบบมีส่วนร่วมในงานของทัศนศิลปจึงมีลักษณะที่แตกต่างไปจากกรณีของวรรณคดี
เพราะวรรณคดีในฐานะสิ่งพิมพ์ในรูปหนังสือคือคุณลักษณะของความเป็นปัจเจกชน
การอ่านหนังสือตัดสายสัมพันธ์ของผู้อ่านกับกิจกรรมที่คนอื่นๆ
ไม่สามารถที่จะมีส่วนร่วมได้ อย่างน้อยๆ ที่สุดหนังสือโดยทั่วๆ
ไปก็ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่ออ่านได้หลายๆ คนในเวลาเดียวกัน
การมุงกันอ่านหนังสือเล่มเดียวกันย่อมไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นทั่วๆ ไป
สำหรับศิลปะในส่วนของภาพวาดก็ไม่สามารถที่จะทำให้ผู้ชมเข้าไปมีส่วนร่วมได้
ศิลปะภาพวาดแสดงคุณสมบัติของการไม่มีส่วนร่วม ถึงแม้ว่าภาพวาดนับตั้งแต่ Claude
Monet
เป็นต้นมาแสงสว่างที่สาดส่องให้เห็นได้อย่างเด่นชัดประหนึ่งว่ากรอบคิดของยุคภูมิธรรมที่แสงสว่างเป็นกฎเกณฑ์สำคัญครอบงำศิลปะอยู่ก็ตาม
แต่นั่นก็ไม่ได้เชื้อเชิญให้ผู้ชมมีส่วนร่วม
เป้าหมายของแสงกลับทำให้เกิดความชัดเจนสว่างไสวในการดูมากขึ้นความมืดเป็นสิ่งที่หายไปในศิลปะ
ทั้งๆ ที่ความมืดจะเป็นกลไกสำคัญอย่างยิ่งในการทำให้ผู้ชมเอาใจใส่ต่อสิ่งต่างๆ
ที่อยู่บนภาพ
เมื่อความมืดหายไปก็ทำให้สายสัมพันธ์ระหว่างความมืดและความสว่างกลายเป็นสิ่งที่หมดไป
การเปิดให้มีแต่ความสว่างกลับแสดงการเชื่อเชิญให้ผู้คนสามารถที่จะเข้าถึงเนื้อหาของตัวศิลปะได้อย่างรวดเร็ว
ผู้ชมไม่ต้องเสียเวลามานั่งครุ่นคิด
ความเร็วกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญของศิลปะสมัยใหม่ที่จะทำให้ผู้คนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของศิลปะได้อย่างรวดเร็วไม่ต้องเสียเวลา
ปรากฎการณ์ของภาพยนตร์ก็ยิ่งตอกย้ำความเร็วให้กับการเข้าถึงศิลปะในพื้นที่ของทัศนธรรม
(visual culture) มากขึ้น
ด้วยความเร็วจึงทำให้ภาพยนตร์เป็นศิลปะที่มีการมีส่วนร่วมของผู้คนมากกว่าผลงานด้านอื่นๆ
ภายใต้กลไกของจำนวนอันเป็นองค์ประกอบของระบอบเสรีประชาธิปไตยก็ทำให้การมีส่วนร่วมยิ่งมากขึ้นเท่าใดก็ยิ่งเพิ่มอำนาจให้กับศิลปะมากขึ้น
ตรรกะของศิลปะจึงดำเนินไปตามหลักการทางการเมืองของรัฐประชาชาติและระบอบเสรีประชาธิปไตย
ความพยายามในการทำให้ศิลปะกลายเป็นเรื่องของการมีส่วนร่วมโดยผ่านการเล่นเองก็แสดงให้เห็นถึงพลังของความต้องการที่จะหลุดออกจากจารีตที่ดำเนินไปด้วยความคิดที่ว่า
ศิลปะเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่อย่างโดดๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับใคร
แต่ความคิดแบบนี้เป็นเพียงจินตภาพที่เกิดขึ้นภายใต้สภาวะสมัยใหม่เท่านั้น
จิตรกรรมฝาผนังไม่ได้แยกขนาดออกจากโบสถ์ ศิลปะไม่ได้ตัดขาดออกจากสิ่งแวดล้อม
ศิลปะก่อนสมัย Michelangelo แสดงความสำคัญของการมีส่วนร่วมของผู้ชม
ไม่ว่าจะเป็นผลงานของกรีกโบราณอย่าง Delphi มาจนถึงวิหาร Westminster
ที่ประเทศอังกฤษและที่อื่นๆ
อีกมากมายในประเทศอิตาลีก็แสดงให้เห็นถึงศิลปะที่ต้องการมีส่วนร่วม
เพราะแม้กระทั่งการชื่นชมศิลปะก็เป็นองค์ประกอบสำคัญของการมีส่วนร่วม
ถึงกระนั้นการมีส่วนร่วมในความหมายแบบที่กล่าวมานี้ยังไม่สามารถทำให้การมีส่วนร่วมในสำนึกของสภาวะสมัยใหม่เป็นสิ่งที่สมบูรณ์ได้
เพราะการชื่นชมศิลปะไม่ได้ทำให้การมีส่วนร่วมกลายเป็นการสร้างงานศิลปะ
การดูการชมย่อมไม่ใช่การสร้าง เพราะแม้กระทั่งการดูศิลปะในกรอบแบบ ละคร
ตามความหมายของ Michael Fried ก็ตาม
การมีส่วนร่วมในทางศิลปะแบบนี้กลับทำให้ผู้ร่วมกลายเป็นเพียง หุ่นยนต์
ที่ดำเนินการไปด้วยความต้องการของศิลปิน
กระบวนการมีส่วนร่วมทางศิลปะแบบนี้ทำให้ผู้มีส่วนร่วมไร้ความรู้สึก
นอกจากนั้นแทนที่ผู้มีส่วนร่วมในกระบวนการทางศิลปะแบบจัดวาง แบบละคร แบบสถานที่ ฯลฯ
หรือศิลปะอะไรอื่นๆ
ที่เน้นบทบาทของผู้คนในฐานะผู้มีส่วนร่วมประหนึ่งราวกับมายากลชักชวนคนดูขึ้นไปมีส่วนร่วมก็ทำให้ผู้ชมกลับกลายเป็นผู้ถูกชม
ผู้ชมกลายเป็นผู้ที่ถูกจับจ้องเสียเอง
กระบวนการสร้างศิลปะแบบมีส่วนร่วมจึงเป็นการแสดงอำนาจในการควบคุมที่ดูจะไม่แตกต่างไปจากกลไกอำนาจของการจ้องมองที่ผู้ชมไม่สามารถที่จะมองเห็นได้ว่าตนเองกำลังถูกจ้องมอง
ศิลปะแบบมีส่วนร่วมจึงเป็นกลไกทาง อำนาจของศิลปะ
ในการทำให้ผู้ชมเป็นองค์ประกอบของศิลปะ
สถานะของศิลปะที่ให้ศิลปะเป็นศูนย์กลางในแบบที่ไม่จำเป็นที่จะต้องพึ่งสถาบันแบบอื่นๆ
ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์หรือแกลลอรี่อีกต่อไป
ดังนั้นในกระบวนการทำให้ศิลปะมีความเป็นศูนย์กลางก็กลับทำให้ศิลปะมีความเป็นเอกเทศและมีลักษณะพิเศษที่ไม่เหมือนอะไรอื่นๆ
โดยความเป็นเอกเทศนี้ไม่ได้เป็นความเป็นเอกเทศของผู้ชม
แต่กลับเป็นความเป็นเอกเทศของตัวศิลปะเอง
ในแง่นี้ความเป็นเอกเทศของศิลปะกลับสร้างสภาวะของการหลงใหลในความเป็น
วัตถุของศิลปะ (art fetishism) ที่กลับไม่มีความเป็นวัตถุ (object)