ศิลปะ
หัตถกรรม สถาปัตยกรรม ประติมากรรม สันทนาการ
การรวมศูนย์ศิลปะของการกระจายตัวของศิลปะและการเมืองฯ
การรวมศูนย์ศิลปะของการกระจายตัวของศิลปะและการเมือง
จากสภาวะสมัยหลังใหม่สู่สภาวะสมัยใหม่
ธเนศ วงศ์ยานนาวา คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
สภาวะสมัยใหม่ในฐานสำนึกทางเวลาที่เป็นเส้นตรง
วิกฤติและการปฎิวัติ
สภาวะสมัยใหม่กับการรวมศูนย์และรวมสายตา
สภาวะหลังสมัยใหม่ที่เป็น ของเก่า
การกลับหัวกลับหางและความแปลกแยก
การดูดกลืนผู้ชมเข้าสู่สภาวะสมัยใหม่
วัตถุและบรรยากาศของศิลปะที่ไม่ยืนยาว
อาณาเขตที่หลากหลายของศิลปะกับการสิ้นสุดของความเป็นเอกเทศ
เส้นทางอนันต์ (infinity) ของอนาคต
การดูดกลืนผู้ชมเข้าสู่สภาวะสมัยใหม่
กระบวนการดูดกลืนเพื่อให้ทุกสิ่งทุกอย่างเข้ามาอยู่กับส่วนกลางเพื่อสร้างความเป็นศูนย์กลาง
(centre) ปรากฏให้เห็นได้อย่างเด่นชัดในกระบวนการทำให้การมีส่วนร่วม
ไม่ว่าจะเป็นการเมืองหรือศิลปะ
ความพยายามของศิลปะในการดูดกลืนหรือรวมเอาบทบาทของผู้ชมเข้ามาไว้ในพื้นที่ทางศิลปะเป็นสิ่งที่ปรากฎให้มาเป็นเวลานานแล้ว
ถ้าจะพิจารณาตามกรอบความคิดของ Michel Foucault
ในการวิเคราะห์ภาพวาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดภาพหนึ่งของวงการศิลปะตะวันตก Las Meninas
อันเป็นผลงานของศิลปินชาวสเปนที่วาดภาพนี้ขึ้นในปี ค.ศ. 1656 แล้วก็จะเห็นได้ว่า
การนำเอาบทบาทของผู้ชมหรือที่ Foucault เรียกว่า Subject
เข้ามาเกี่ยวข้องนั้นเป็นประเด็นที่มีความสำคัญทางศิลปะตะวันตก
สำหรับภาพๆ นี้นักประวัติศาสตร์ศิลปะอย่าง Svetlana Alpers เองเห็นว่า
ได้รับอิทธิพลจากการวาดภาพแบบยุโรปเหนือและยุโรปใต้อันเป็นแนวทางการวาดภาพที่ขัดแย้งกัน
แนวทางการวาดภาพสองแนวที่ขัดแย้งกันนั่นก็คือ
การวาดภาพแบบยุโรปเหนือและการวาดภาพแบบยุโรปใต้
สำหรับการวาดภาพแบบทางใต้ศิลปินก็จะอยู่คู่กับคนดูหรือเป็นส่วนหนึ่งของภาพ
ในขณะที่ภาพวาดแบบทางเหนือก็เป็นวาดภาพหรือเรื่องราวต่างๆ
เกิดขึ้นโดยไม่มีผู้ชมมาเกี่ยวข้อง
แต่ความเห็นว่าภาพทางเหนือไม่ได้มีบทบาทของผู้ชมเข้ามาเกี่ยวข้องได้รับการปฏิเสธโดย
Benjamin Binstock
ที่อ้างการตีความของนักประวัติศาสตร์ศิลปะคนสำคัญของศตวรรษที่ยี่สิบ Alois Riegl
ผู้เห็นว่า
ภาพวาดแบบทางใต้นั้นไม่ได้รับเอาบทบาทของผู้ชมเข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด
ในขณะที่ภาพวาดทางเหนือก็จะรับเอาบทบาทของผู้ชมเข้ามามีส่วนร่วม
ไม่ว่าแนวทางการวาดภาพยุโรปเหนือจะนำเอาผู้ชมเข้ามาหรือจะเป็นแนวทางการวาดภาพแบบทางใต้จะนำเอาผู้ชมเข้ามาก็ตาม
ผู้ชม ก็เป็นประเด็นที่มีความสำคัญมาก เพราะไม่ว่าการตีความฝ่ายไหนจะถูก
ไม่ว่าจะเป็นผลงานของยุโรปเหนือและยุโรปใต้ก็ตาม
ความสำคัญก็ยังคงอยู่ที่การนำเอาผู้ชมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของผลงานศิลปะ การ รวม
เอาผู้ชมเข้าเกี่ยวข้องในศิลปะดำเนินไปด้วยกันได้กับการสถาปนารัฐสมัยใหม่ที่รวบรวมเอาทุกคนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของรัฐสมัยใหม่
ผู้ชมถูกดูดรวมเข้าในทำนองเดียวกันกับการรวบอำนาจเข้าสู่ส่วนกลางของรัฐสมัยใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐสมบูรณายาสิทธิราช
ภาพวาดฝีมือของ Galileo Chini
ศิลปินอิตาเลี่ยนในพระที่นั่งอนันตสมาคมสะท้อนให้เห็นลักษณะดังกล่าว
การดึงเอาผู้คนที่หลากหลายให้เข้ามาเกี่ยวข้องกับรัฐให้ได้มากที่สุดเป็นสิ่งที่ปรากฎให้เห็นได้เด่นชัดมากขึ้นในกลไกของรัฐประชาชาติ
(nation-state)
อันเป็นโครงสร้างมาตรฐานของความเป็นรัฐสมัยใหม่ทั่วโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อระบบอาณานิคมสิ้นสุดลงนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา
โดยความเป็นรัฐประชาชาติตั้งอยู่บนรากฐานของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยอันเป็นอำนาจสูงสุดซึ่งก็ทำให้ประชาชนเป็นสิ่งที่สูงที่สุดและสำคัญที่สุด
ความชัดเจนของความเป็นรัฐประชาชาติก็ยิ่งมีความชัดเจนมากขึ้นหลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิโซเวียตที่ทำให้เกิดรัฐประชาชาติจำนวนอีกมากมาย
นอกจากนั้นก็ยังทำให้จักรวรรดิโซเวียตมีความเป็นรัฐประชาชาติมากขึ้นด้วยการผลักคนต่างวัฒนธรรมและศาสนาออกไป
ถึงแม้ว่าโครงสร้างรัฐประชาชาติจะรวบรวมเอาประชาชนมาผูกติดอยู่กับรัฐ
ประชาชนต้องมีร่วมอยู่กับรัฐ
เพราะรัฐกลายเป็นสิ่งจำเป็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้การอธิบายแบบสัญญาประชาคม
(social contract)
กระบวนการดึงคนเข้ามามีส่วนร่วมในฐานะที่เป็นเจ้าของประเทศปรากฏให้เห็นได้อย่างเด่นชัดในการอ้างอิงกับความคิดเรื่อง
มนุษย์เป็นสัตว์การเมือง ของ Aristotle ที่เป็นรากฐานที่สร้างความสมเหตุสมผล
(justification) ให้กับการขยายตัวของ อำนาจของเมือง ไปสู่ชนบท
ไม่เพียงแต่เท่านั้นกลไกและสำนึกของระบบประชาธิปไตย
ไม่ว่าจะเป็นแบบเสรีนิยมหรือจะเป็นแบบสังคมนิยม-คอมมิวนิสต์
ต่างก็ล้วนแล้วแต่ส่งเสริมแนวทางของการมีบทบาทของ ประชาชน
ในฐานะที่เป็นรากฐานของอำนาจอธิปไตยแห่งรัฐประชาชาติด้วยกันทั้งสิ้น
แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาของสภาวะสมัยใหม่ก็ไม่ได้ทำให้ผู้คนได้เข้ามามีบทบาทอย่างจริงจัง
ผู้หญิงเองก็ไม่ได้มีบทบาทในทางการเมืองจนกระทั่งยุคหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
ผู้คนในประเทศอาณานิคมจะมีส่วนร่วมในทางการเมืองหลังได้รับเอกราช
คนผิวดำเองก็ไม่ได้มีสิทธิอะไรจนกระทั่งทศวรรษที่ 1960 ฯลฯ
กระแสความนิยมในการมีส่วนร่วมเป็นแนวทางที่ได้รับความนิยมมากขึ้นนับตั้งแต่ทศวรรษที่
1950 เป็นต้นมา ในขณะที่สหรัฐอเมริกาเองก็มีการเปลี่ยนแปลงทางสังคม การเมือง
เป็นอย่างมาก
นับตั้งแต่ขบวนการที่ต่อต้านมาตรฐานและจริยธรรมหลักทางสังคมได้ขยายไปตัวไปอย่างมากพร้อมๆ
กับการต่อสู้เพื่อสิทธิความเป็นพลเมือง การต่อต้านสงครามเวียดนาม ฯลฯ
สำหรับในส่วนของศิลปะการมีส่วนร่วมและการต่อต้านแสดงออกมาในประเภทศิลปะการจัดวาง
(installation art) ศิลปะแนวสถานการณ์ เทศะศิลปะ (site-specific art)
ศิลปะที่ไม่ได้ปรากฏร่างอยู่ในพื้นที่ของพิพิธภัณฑ์ หอศิลปะ และแกลลอรี่
ศิลปะในแนวทางแบบนี้เป็นที่แพร่หลายมาขึ้นในทศวรรษที่ 1970 จนกระทั่งถึงทศวรรษที่
1980 ศิลปะแนวทางแบบนี้ก็กลายเป็นกระแสที่มีชีวิตและจิตใจเป็นของตัวเอง
ประเทศไทยภายใต้กระแสธารประชาธิปไตยในยุคหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516
ทำให้สำนึกความเป็นประชาธิปไตยขยายตัว ศิลปะที่มีเป้าหมาย (purpose) เพื่อ
ประชาชน ก็ถูกลื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรื้อฟื้นผลงานของจิตร
ภูมิศักดิ์ โดยผ่านฝีมือพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
สำหรับศิลปะที่ต้องการมีเป้าหมาย รับใช้ ประชาชนนั้นดูจะมีเป้าหมายที่หลากหลาย
แต่ถึงกระนั้นก็ดีเป้าหมายหลักมิได้อยู่ในส่วนของความงาม สัดส่วน องค์ประกอบภาพ สี
แต่ยังมีเป้าหมายในสร้างจิตสำนึก
โดยการมีเป้าหมายนั้นก็มุ่งหวังที่จะทำให้สิ่งที่พึงปรารถนากลายเป็นจริง
เป้าหมายจึงมีเพื่อการลดช่องว่างระหว่างความเป็นจริงกับสิ่งที่พึงปรารถนา
ศิลปะในลักษณะแบบนี้จึงเป็นเรื่องของสิ่งที่ควรจะเป็น ทั้งๆ
ที่หน้าที่ของศิลปะที่มีเป้าหมายเพียงแค่ที่จะสื่อสาร (communicate)
กับผู้ชมเท่านั้น
แต่การสื่อสารนี้ก็เป็นเพื่อให้สิ่งที่ควรจะเป็นนั้นได้รับรู้และถูกนำเอาไปปฏิบัติ
ศิลปะที่มีเป้าหมายอยู่ที่ประชาชนให้ความสำคัญกับการสร้างจิตสำนึกที่ไม่ได้สิ้นสุดในศิลปะ
แต่เป้าหมายก็อยู่ที่อะไรที่ไปไกลกว่าความเป็นศิลปะเอง
ในแง่นี้ศิลปะจึงเป็นเพียงแค่เครื่องมือ (instrument)
อย่างไรก็ตามการสร้างจิตสำนึกและการทำให้สิ่งที่พึงปรารถนาเป็นความจริงขึ้นมาก็ทำให้การ
รวบ เอาผู้คนต่างๆ เข้ามาในพื้นที่ของศิลปะมีความชัดเจนมากขึ้น
ศิลปะที่มีเป้าหมายในทางการเมืองแบบนี้กลับเป็นผลงานที่กลับหัวกลับหางกับผลงานศิลปะทางการเมืองที่
รับใช้ รัฐ (ประชาชาติ)
อย่างไรก็ตามถ้าการมีเป้าหมายอยู่ที่รัฐประชาชาติซึ่งอำนาจอธิปไตยอยู่ที่ประชาชนแล้วก็หมายความว่า
ศิลปะที่มีเป้าหมายอยู่ที่ประชาชนก็ไม่ได้แตกต่างไปจากเป้าหมายที่รัฐประชาชาติ
ศิลปะเพื่อประชาชนและเพื่อรัฐประชาชาติจึงไม่ได้มีความแตกต่างกัน
ถึงกระนั้นก็ดีสำหรับศิลปะที่ รับใช้
ประชาชนยังคงทำหน้าที่แตกต่างไปจากศิลปะที่รับใช้ศิลปะเพื่อรัฐประชาชาติในแง่ของการวิพากษ์
(critique)
แต่การทำหน้าที่วิพากษ์ของศิลปะกลับทำให้ศิลปะไม่ได้ดำรงฐานะการเป็นศิลปะสมัยใหม่
เพราะการวิพากษ์และการสร้างจิตสำนึกนั้นทำให้หน้าที่ของศิลปะไม่ได้มีความแตกต่างไปจากศิลปะในสมัยกลางของยุโรปแต่อย่างใด
หน้าที่ของศิลปะก็คือ กลไกในการสั่งสอนศาสนา ศีลธรรม
สำหรับคนที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ภาพวาดจึงเป็น
หนังสือสำหรับคนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ (the Book of Illiterate)
การทำหน้าที่ของศิลปะในแบบนี้ก็เท่ากับทำให้ศิลปินมีสถานะที่ไม่ได้แตกต่างไปจากนักเทศน์ทางศีลธรรม
ศิลปะกับศีลธรรมจึงไม่ได้มีเส้นแบ่งที่ชัดเจนอีกต่อไป ศิลปะจึงกลายเป็นจริยธรรม
และจริยธรรมถูกเปลี่ยนให้เป็นศิลปะ
ดังนั้นแนวทางศิลปะที่มุ่งหวังการวิพากษ์ทางการเมืองและสังคมก็ยังคงรักษาความเป็นจารีตของศิลปะสภาวะก่อนสมัยใหม่
(premodern) มากกว่าที่จะเป็นสมัยใหม่
ถึงแม้ว่าเป้าหมายจะอยู่ที่ผู้คนที่ไม่ใช่ศิลปิน
แต่ภาพวาดเหตุการณ์นองเลือดทางการเมืองจากศิลปินที่มีจิตสำนึกทั้งหลายกลับไม่ได้ทำผู้ชมมีโอกาสที่จะเข้าไปมีส่วนร่วม
ศิลปะเพื่อประชาชนยังคงรักษาการตัดสินจากศิลปินแต่เพียงฝ่ายเดียว
ศูนย์รวมของความเป็นศิลปะถูกกำหนดจากตัวศิลปินเพื่อประชาชนเองโดยไม่มีผู้คนอื่นๆ
(ประชาชน) เข้ามาเกี่ยวข้องหรือมีส่วนร่วมแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตามภายหลังจากอุ้งมือเหล็กของเผด็จการทหารในประเทศไทยคลายมือลงก็ทำให้บรรยากาศและสำนึกที่ประจวบกับรูปแบบใหม่ของการนำเสนอศิลปะได้ถูก
นำเข้า เช่นเดียวกันกับสิ่งอื่นๆ ในประเทศไทยที่แสดงความเป็นไทย
ไม่ว่าจะเป็นศาสนาหรือระบอบการเมือง ตลอดจนสายเลือดก็ตาม
เพียงแต่ว่าสิ่งที่นำเข้านี้มาจากศูนย์กลางอำนาจใหม่ที่ครอบงำโลกในปลายศตวรรษที่สิบเก้าและยี่สิบมากกว่าที่จะเป็นศูนย์กลางอำนาจโบราณไม่ว่าจะเป็นจีนหรืออินเดีย
ผลงานศิลปะให้ความสำคัญกับส่วนขยายหรือ ส่วนเกิน
ของศิลปะหรือสภาวะแวดล้อมจริงๆ
ผลงานศิลปะในลักษณะแบบนี้จึงไม่ใช่ลักษณะของภาพวาดที่มีความหมายในตัวเอง
หรือประติมากรรมที่มีความหมายในตัวเอง
ถึงกระนั้นก็ดีแนวทางศิลปะเหล่านี้ไม่ได้ทำให้สภาพแวดล้อมกลายเป็นผลงานศิลปะ
สภาพแวดล้อมยังคงสภาวะของการไม่เป็นศิลปะไว้ดังเดิม
ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นจึงเป็นความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะกับสิ่งที่ไม่ใช่ศิลปะ
ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ทำให้ศิลปะสูญเสียความเป็นศิลปะไปแต่อย่างใด
ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ทำให้สิ่งที่ไม่ใช่ศิลปะมีความเป็นศิลปะมากขึ้น
แต่เส้นแบ่งของความเป็นศิลปะไม่มีความชัดเจน ในทำนองเดียวกันกับการใช้วัตถุพื้นๆ มา
เจิม โดยการตัดสินของศิลปินเองให้กลายเป็นศิลปะในรูปแบบเดียวกันกับศิลปะสำเร็จรูป
(ready-made art)
นักประวัติศาสตร์ศิลปะและนักวิจารณ์ศิลปะอย่าง Micheal Fried
ในบทความคลาสสิคที่ชื่อว่า Art and Objecthood เรียกศิลปะในแนวทางแบบนี้ว่า
Literalist Art
อันเป็นแนวทางศิลปะที่ให้ความสำคัญแก่สิ่งที่ไม่ใช่ความเป็นวัตถุศิลปะในตัวของมันเอง
ศิลปะแบบนี้ต้องการอะไรที่มากไปกว่าวัตถุทางศิลปะเอง สำหรับ Fried
แล้วศิลปะแบบนี้ที่เขาเรียกว่า Literalist นั้นมีลักษณะของความเป็นเวทีละคร
(theatrical) เพราะให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทของผู้ชม
ประเด็นสำคัญก็คือ การนำเอาผู้ชมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
เงื่อนไขของการเป็นละครทำให้ผู้ชมกลายเป็นผู้ที่มีบทบาทอย่างมากในการกำหนดสถานะของศิลปะ
ในแง่นี้ความเป็นศิลปะจึงเป็นสิ่งที่ไม่ได้จบสิ้นลงไปในตัวเองตามแนวทางแบบ Kantian
แต่ศิลปะขยาย (อำนาจ)
รวมเอาผู้ชมเขาเกี่ยวข้องด้วยเฉกเช่นรัฐประชาชาติขยายบทบาทของตัวเอง
การขยายตัวนี้ก็ทำให้พื้นที่ของศิลปะสามารถที่จะขยายตัวออกไปด้วย
ศิลปะไม่ได้ถูกจำกัดด้วยกรอบ (frame) ไม่ว่าจะเป็นกรอบไม้หรือกรอบความคิด
ศิลปะแบบนี้จึงเป็น ศิลปะแบบขยายพื้นที่ของศิลปะ
ด้วยการขยายตัวออกไปสู่พื้นที่อื่นๆ
มากกว่าที่จะจำกัดเขตพื้นที่ของความเป็นศิลปะเอาไว้แบบเดิม
การขยายอาณาเขตของศิลปะทำให้พื้นที่ของสุนทรียะขยายตัวข้ามเขตไปสู่อาณาเขตอื่นๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิตธรรมดาๆ นี่เป็นความพยายามที่จะทำให้ชีวิตธรรมดาๆ ตกอยู่ใน
ระบบอาณานิคมโดยศิลปะ (artistically colonialized lifeworld)
สภาวะแบบนี้คือ การรวบให้ทุกสิ่งทุกอย่างตกอยู่ภายใต้อำนาจของศิลปะ
การรวบให้อยู่ภายใต้อำนาจของศิลปะแบบนี้เป็นตรรกะของกระบวนการของสภาวะสมัยใหม่ที่พัฒนามาตั้งแต่การใช้หลักการเรขาคณิตและจุดรวมสายตา
ในทำนองเดียวกันกับการรวมเอาให้คนเข้ามามีส่วนร่วมก็เป็นกระบวนการของการขยายอำนาจของศิลปะ
นอกจากนั้นนี่เป็นการทำลายรากฐานของการแบ่งแยกอาณาเขตต่างๆ ของสภาวะสมัยใหม่
สำหรับการทำลายรากฐานที่มุ่งบรรลุสู่การแยกอาณาเขตการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นผลพวงมาจากการที่ศิลปะถูกขับเคลื่อนด้วยสำนึกทางการเมืองของทศวรรษที่
1960 สำนึกทางการเมืองที่ต้องการทำทุกอย่างให้เป็นการเมือง (politicization) เช่น
ขบวนการเฟมินิสต์ (feminist) ที่ขยายความเป็นการเมืองไปสู่พื้นที่ส่วนตัวด้วย
ประโยคที่ว่า Personal is Political เป็นต้น


