ศิลปะ
หัตถกรรม สถาปัตยกรรม ประติมากรรม สันทนาการ
การรวมศูนย์ศิลปะของการกระจายตัวของศิลปะและการเมืองฯ
การรวมศูนย์ศิลปะของการกระจายตัวของศิลปะและการเมือง
จากสภาวะสมัยหลังใหม่สู่สภาวะสมัยใหม่
ธเนศ วงศ์ยานนาวา คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
สภาวะสมัยใหม่ในฐานสำนึกทางเวลาที่เป็นเส้นตรง
วิกฤติและการปฎิวัติ
สภาวะสมัยใหม่กับการรวมศูนย์และรวมสายตา
สภาวะหลังสมัยใหม่ที่เป็น ของเก่า
การกลับหัวกลับหางและความแปลกแยก
การดูดกลืนผู้ชมเข้าสู่สภาวะสมัยใหม่
วัตถุและบรรยากาศของศิลปะที่ไม่ยืนยาว
อาณาเขตที่หลากหลายของศิลปะกับการสิ้นสุดของความเป็นเอกเทศ
เส้นทางอนันต์ (infinity) ของอนาคต
การกลับหัวกลับหางและความแปลกแยก
ผลงานของพวกนาซีเป็นด้านมืดของตรรกะแห่งสภาวะสมัยใหม่
นี่แสดงให้เห็นว่าสภาวะสมัยใหม่กลายเป็นสิ่งที่โหดร้าย
ผลพวงที่เกิดขึ้นต่อมาจึงแสดงออกมาในรูปของการต่อต้านความคิดแบบภูมิธรรม
(Anti-Enlightenment) อันเป็นยุคที่ยึดมั่นอยู่ในหลักการของ Rationality (เหตุผล)
หรือถ้าจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ นี่เป็นการปฏิเสธ Rationality ทั้งนี้การใช้
Rationality หรือที่มักจะแปลกันเป็นภาษาไทยว่าคือ เหตุผล
(แต่นี่ก็เป็นการแปลที่ไม่ครอบคลุม) นั้นมีลักษณะของการกดบังคับ (repressive)
มากกว่าที่จะปรับตัวเข้ากับเงื่อนไขต่างๆ ทางสังคมและสภาพแวดล้อม
เป้าหมายที่ Rationality กำหนดให้ไม่ใช่สิ่งเดียวที่มีความสำคัญโดดๆ
หลักการของ Rationality
ที่ปรากฏอยู่ในงานเกือบทุกสาขาไม่ว่าจะเป็นเศรษฐศาสตร์ไปจนศิลปะประยุกต์อย่างสถาปัตยกรรมกลายเป็นกลไกของเผด็จการที่กระทำภายใต้นามของ
Rationality ซึ่งทำหน้าที่ไม่แตกต่างไปจากพระผู้เป็นเจ้าที่มีอยู่เพียงองค์เดียว
หลักการอันน่ากลัวของ Rationality
จึงกลายเป็นการตัดตีนให้เท่ากับเกือกมากกว่าที่จะทำให้โมเดล (model)
สอดคล้องกับชีวิต
ในแง่นี้ทางสถาปัตยกรรมจึงนำไปสู่การยอมรับสิ่งที่ดำรงอยู่ก่อนมากกว่าที่บีบบังคับสรรพสิ่งต่างๆ
ให้สอดคล้องกับโมเดล
การเกิดขึ้นของรัฐนาซีและเผด็จการสตาลินอันเป็นผลพวงของตรรกะแห่งสภาวะสมัยใหม่ทำให้จุดเริ่มต้นของสภาวะสมัยใหม่มีความชัดเจนขึ้น
ในขณะที่ศิลปะเองก็จำเป็นที่จะต้องจบสิ้นลงเมื่อความงามไม่ได้เป็นมาตรฐานของความเป็นศิลปะอีกต่อไปในงานของ
Marcel Duchamp ในต้นศตวรรษที่ยี่สิบจนทำให้ผลงาน Duchamp
สามารถที่จะกลายเป็นหลังสมัยใหม่ มากพอๆ กับการเป็นสมัยใหม่
ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการนำเอาผลงานของ Duchamp ไปเทียบเคียงกับอะไร
ถ้าพิจารณาว่าเป็นการท้าทายศิลปะชั้นสูงก็สามารถที่จะกล่าวได้ว่า
ผลงานของเขาเป็นหลังสมัยใหม่ เพราะยอมให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นศิลปะได้
ผลงานของ Duchamp ทำให้ประเด็นเรื่องสุนทรียะกลายเป็นปัญหา
เพราะไม่สามารถที่จะกล่าวได้อย่างง่ายๆ อีกต่อไปว่า งานศิลปะชิ้นนี้สวย
เพราะคงไม่มีใครที่จะกล่าวว่า โถส้วม ในงานแสดงศิลปะว่าเป็นงานศิลปะ ถึงแม้ว่า
โถส้วม นั้นจะมีความสวยงามมากก็ตาม
แต่งานแสดงศิลปะย่อมไม่ใช่งานแสดงผลิตภัณฑ์สุขภัณฑ์
ทั้งนี้สุขภัณฑ์ที่เข้าไปอยู่ในงานแสดงศิลปะเมื่อต้นศตวรรษที่ยี่สิบก็คงไม่ได้ทำให้ใครเข้าใจได้ว่า
โถส้วม ที่ว่านี้จะเป็นศิลปะได้อย่างไร
การตัดสินให้อะไรเป็นศิลปะในลักษณะแบบนี้ก็เปรียบเสมือนการตั้งชื่อวิสามัญนามให้กับศิลปะวัตถุ
สำหรับวิสามัญนามในที่นี้ก็คือ ศิลปะ ในแง่นี้ผลงานศิลปะของ Duchamp
เกิดขึ้นจากการตัดสินใจด้วยตัวเองล้วนๆ ในการที่จะจัดให้อะไรเป็นศิลปะ
อะไรไม่เป็นศิลปะ
การตัดสินด้วยการจัดระเบียบใหม่ด้วยวิสามัญนามอย่างศิลปะก็หมายความถึง
ความเป็นสมัยใหม่อย่างเต็มที่
เพราะเขาไม่ได้ตกอยู่ภายใต้ข้อกำหนดความเป็นศิลปะจากภายนอก
นี่เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเป็นเอกเทศของศิลปะ ความเป็นเอกเทศของศิลปิน
ความเป็นเอกเทศแสดงให้เห็นถึงลักษณะของความเป็นสภาวะสมัยใหม่
แต่ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่าสภาวะสมัยหลังสมัยใหม่ก็เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ในความเป็นสภาวะสมัยใหม่มากกว่าที่จะเป็นเพียงแค่การมา
หลัง
ในแง่นี้ศิลปะในสภาวะหลังสมัยใหม่เป็นสิ่งที่ดำเนินมาเป็นเวลานานกว่าที่สภาวะหลังสมัยใหม่เองจะรู้ตัว
เพราะอย่างน้อยๆ ที่สุดความเป็นหลังสมัยใหม่ก็สามารถที่จะถอยไปไกลเกินกว่าทศวรรษที่
1960 อันยุคที่มักจะได้ชื่อว่า เป็นจุดเริ่มต้นของสภาวะหลังสมัยใหม่
สภาวะหลังสมัยใหม่จึงดำรงอยู่ดังราวกับจิตไร้สำนึกของสภาวะสมัยใหม่
อย่างไรก็ตามนี่ไม่ได้หมายความว่าทศวรรษที่ 1960 จะไม่มีความสำคัญแต่อย่างใด
ในทางตรงกันข้ามทศวรรษที่ 1960 คือยุคที่ทำให้สิ่งที่ไม่เคยเป็นไปได้ กลับเป็นไปได้
สิ่งที่เคยเป็นข้อห้ามได้กลายเป็นบรรทัดฐาน
สภาวะแบบนี้จึงเป็นสภาวะที่กลับหัวกลับหางมาตรฐานเดิม
แต่เมื่อเป็นบรรทัดฐานที่เป็นมาตรฐานได้ก็ทำให้อะไรอื่นๆ
อีกเป็นจำนวนมากไม่สามารถที่จะอยู่ในหรือเป็นมาตรฐานได้
เพราะในที่สุดแนวทางของหลังสมัยใหม่เองก็ได้กันอะไรต่ออะไรออกไปไม่ให้เข้ามามีบทบาทแบบที่สมัยใหม่นิยม
(modernism) เคยถูกโจมตี ความพยายามที่จะส่งเสริมให้คนต่อสู้ และการเพิ่มพลัง
(empowerment) ให้ผู้ชม
แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่าผลงานศิลปะจำนวนมากของหลังสมัยใหม่กลับยิ่งทำให้คนรู้สึกถูกดูถูก
ผู้ชมกลับรู้สึกว่าตัวเล็กลง ไม่มีได้มีอำนาจเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด
ผู้ชมงานศิลปะกลับรู้สึกว่าไร้อำนาจ ดังเช่น ผลงานของ Barbara Kruger
เป็นต้นแม้ว่าศิลปินจะใฝ่ฝันและพยายามที่จะยืนอยู่เคียงข้างผู้อ่อนด้อยก็ตาม
ความขัดแย้งของผลงานของศิลปินกับกลุ่มชนต่างๆ
ดูจะเป็นสิ่งปกติของการเป็นศิลปิน
ศิลปินในฐานะผู้ที่นำเสนอผลงานจึงไม่สามารถที่จะนำบรรลุถึงความต้องการของตนที่จะสื่อหรือแม้กระทั่งเปลี่ยนแปลงผู้คนจำนวนมากได้
ดังที่ ศิลป์ พีระศรี ได้กล่าวไว้ว่า
ศิลปินย่อมทำงานขัดต่อกระแสความนิยมในศิลปะของประชาชน
แต่เป็นสิ่งจำเป็นแก่ศิลปินอย่างยิ่งที่เขาจะต้องทำงานตามสัญชาติญาณของเขา
อย่างไรก็ตามการกล่าวว่าศิลปินทำงานตามสัญชาติญาณอาจจะเป็นการกล่าวที่ไม่เหมาะสำหรับยุคหลังสมัยใหม่
(ถ้ายอมรับว่าอยู่ในยุคหลังสมัยใหม่)
เพราะไม่มีอะไรในการกระทำของมนุษย์ที่ถือได้ว่าเป็นสัญชาติญาณในอาณาเขตของวัฒนธรรม
ภายใต้กรอบความคิดแบบหลังสมัยใหม่การทำงานของศิลปินเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาตามความหมายทางสังคม
(social construction)
เพราะถ้ากล่าวว่าเป็นสัญชาติญาณก็คงจะต้องทำให้ศิลปินหลายต่อหลายคนประสบกับการตราหน้าในส่วนของการแสดงออกถึง
สันดานดิบ มากกว่าอย่างอื่น
เพราะถ้าใช้กรอบความคิดแบบนี้ก็ย่อมทำให้ผลงานของศิลปินที่เล่นกับความตายโดยผ่านศพมนุษย์นั้นก็ดูจะเป็นสิ่งที่ยอมรับกันไม่ได้
ศิลปะที่หันไปเล่นกับ ของจริง ทำให้สถานะของการเป็นภาพตัวแทน (representation)
ของศิลปะดูจะไม่มีบทบาทอีกต่อไป
เมื่อไม่ได้อยู่ในสภาวะของความเป็นภาพตัวแทนที่มีตัวเชื่อมก็ทำให้โลกแห่งความเป็นจริงขาดการขัดเกลา
ของจริง กับภาพตัวแทนไม่ได้แยกออกจากกัน อาณาเขตของสรรพสิ่งต่างๆ ไม่มีความชัดเจน
โลกแห่งศิลปะ โลกแห่งจินตนิยาย โลกแห่งความเป็นจริง
ทั้งหมดกลายเป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ได้อีกต่อไป ไม่เพียงแต่เท่านั้นการเล่นกับ
ของจริง โดยเฉพาะของจริงที่น่ากลัว เช่น ความตายจริงๆ
ของศพก่อให้เกิดคำถามตามจารีตประเพณีอย่างน้อยๆ ที่สุดก็ในส่วนของ
ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สำหรับการกลับไปสู่ ของจริง ที่ไม่ใช่เป็นเพียงแค่สื่อ
ไม่ใช่สี ไม่ใช่หิน ไม่ใช่ดิน แต่เป็น ซากศพของสิ่งมีชีวิต
ก็ทำให้ศิลปะกลับกลายเป็นสิ่งที่มีเสน่ห์และขยะแขยงมากไปกว่าที่จะเป็นเพียง Morbid
Romanticism
เพราะนี่ไม่ใช่แค่ลัทธิโรแมนติคอันเป็นกรอบหลักที่ผู้ชมศิลปะและศิลปินจำนวนอยากที่จะอ้างอิงถึง
ทั้งนี้ก็เนื่องจากๆ คำๆ นี้เป็นคำตลาดๆ ที่สื่อความหมายสำหรับคนจำนวนมาก
ครั้นถ้าจะพิจารณาในส่วนของสุนทรียะแล้ว สภาวะแบบนี้ก็เป็นกรอบของ Sublime
มากกว่าที่จะเป็นเพียงความงามธรรมดาๆ เพราะ ซากศพของจริง
จะเป็นตัวที่นำพาผู้ชมไปสู่สภาวะของเทวะ เช่น ซากฉลาม ซากนกกระสา ฯลฯ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าจะพิจารณากันในกรอบแบบ Edmund Burke
ผู้เป็นอนุรักษ์นิยมคนสำคัญของอังกฤษ และตลอดจนนักปรัชญาผู้กำหนดมาตรฐานทางสุนทรียะ
Immanuel Kant สภาวะ Sublime
เป็นสิ่งที่ทั้งดึงดูดและพร้อมที่จะเบือนหน้าหนีไปพร้อมๆ กัน
สำหรับในศิลปะสมัยใหม่ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการนำเสนอสิ่งที่นำเสนอไม่ได้
และไม่มีอะไรดีไปกว่าการนำเสนอความตาย เพราะความตายเป็นสิ่งที่นำเสนอไม่ได้
ความตายเป็นสิ่งที่เข้าไม่ถึง ดังนั้นจึงไม่มีอะไรดีไปกว่า นำเสนอจากศพ
เพราะเป็นสิ่งที่ท้าทายการนำเสนอ ผลงานศิลปะของ อารยา ราษฏร์จำเริญสุข
ดูจะเป็นตัวอย่างที่ดี
ศิลปะที่กลับไปสู่ ของจริง
ไม่ได้ให้ความสงบนิ่งตามแบบที่เกิดขึ้นจากความงาม ทั้งนี้ Sublime มีแต่ความจริงจัง
พร้อมเมื่อผนวกเข้ากับ สภาพความตายของของจริง
ก็ยิ่งทำให้ศิลปะมีความเข้มข้นขึ้นไปอีก เมื่อนั้นก็หมายความว่า
ผู้ชมโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีรสนิยมแบบกระฎุมพีก็จะมีความลักลั่นและทนไม่ได้กับความจริงจังที่ดำเนินไปด้วยความพลวัตรของ
Sublime นี้เอง ดังนั้นศิลปินที่ยิ่งมี ความเป็นตัวตนเป็นของตัวเอง
จึงสร้างความแปลกแยกกับผู้คน ไม่ว่ารูปแบบของการนำเสนอจะปรากฏออกมาในแบบใด
การเรียกร้องให้ศิลปะเป็นไปเพื่อ รับใช้ สิ่งที่เป็นนามธรรมอย่างประชาชน (people)
จึงสามารถที่จะสร้างแปลกแยกได้ไม่น้อยไปกว่าศิลปะแนวทางอื่นๆ
ทั้งนี้อย่างน้อยๆ ที่สุดศิลปะที่ตอบสนอง ประชาชน
นั้นก็ไม่สามารถที่จะตอบสนองรสนิยมทางชนชั้นที่แตกต่างกันได้
เพราะกลุ่มคนมีความแตกต่างกันในแง่ของ ทุนทางวัฒนธรรม (cultural capital) เช่น
ผู้คนที่นิยมให้ศิลปะมีเป้าหมายในตัวเองตามแนวแบบ Immanuel Kant ก็ย่อมจะมี
ทุนวัฒนธรรม ที่แตกต่างไปจากคนประเภทอื่นๆ สำหรับมาตรฐานด้านสุนทรียะของ Kant
เองนั้นก็มีความเป็นอุดมคติไม่น้อยไปกว่าความต้องการให้ศิลปะ รับใช้ ประชาชน
ทั้งนี้ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่าความเป็นประชาชนจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีเอกภาพ
มีความเป็นหนึ่งเดียวกัน
เพราะจำเป็นที่จะต้องสอดคล้องกับหลักการอำนาจอธิปไตยที่เป็นของหรือมาจากประชาชน
แต่อำนาจอธิปไตยมีความเป็นหนึ่งเดียวและแบ่งแยกไม่ได้
ในแง่นี้แล้วความเป็นประชาชนตามหลักตรรกะของสภาวะสมัยใหม่ของรัฐสมัยใหม่อย่างรัฐประชาชาติจึงเป็นมาตรฐานทางอุดมคติที่อยู่ในอนาคต
เพราะกลุ่มคนไม่ได้มีความเป็นเอกภาพได้ขนาดนั้น
การแบ่งแยกออกเป็นส่วนๆ
ที่แตกต่างกันของผู้คนไม่ได้ทำให้เกิดความเป็นประชาชน
เพราะความเป็นประชาชนจะต้องมีเอกภาพมากกว่าที่จะดำรงอยู่อย่างหลากหลาย
ในทำนองเดียวกับการกล่าว ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย เป็นประชารัฐ
แต่ในที่สุดแล้วก็จะเห็นได้ว่าไม่สามารถที่จะรวมเอาทุกสิ่งทุกอย่างเข้ามาได้
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนต้นว่าสภาวะสมัยใหม่จำเป็นที่จะต้องกันอะไรบางอย่างออกไป
ในขณะเดียวกันก็ต้องรวมอะไรบางอย่างเข้ามา
ดังนั้นกระบวนการในการสร้างความเป็นรัฐสมัยใหม่ในสภาวะสมัยใหม่จึงไม่สามารถที่จะรวมเอาทุกสิ่งทุกอย่างเข้ามาได้หมด
เช่น สถาปัตยกรรมไทยก็ไม่ได้รวมเอาสุเหร่าเข้ามาด้วย เป็นต้น
ศิลปะไทยจำนวนมากจำกัดตัวเองอยู่ที่พุทธศิลป์มากกว่าที่จะเป็นศิลปะอิสลาม
ศิลปะคาธอลิค ศิลปะโปรเตสแต้นท์ หรือแม้กระทั่งศิลปะพุทธมหายาน ฯลฯ
ในส่วนของศิลปินที่แม้ว่าจะพยายามเข้าใกล้ ประชาชน
ในฐานะสิ่งที่เป็นนามธรรมที่ดำเนินงานภายใต้หลักเกณฑ์ของรัฐประชาชาติ
แต่ผลงานของศิลปะเองก็คงความเป็นอัตวิสัยมากเกินไปกว่าที่จะสร้างให้กับผู้คนจำนวนมากรู้สึกหรือต้องการที่จะมีส่วนร่วมได้
เพราะในที่สุดแล้วศิลปะ เช่น ภาพวาด ที่เอียงข้าง ผู้คน หรือที่เรียกว่า
ประชาชน ก็ไม่สามารถจะได้รับความนิยมเท่ากับศิลปะพื้นบ้านจริงๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งดนตรี ลิเก ลำตัด หมอลำ ฯลฯ
โลกของศิลปินเชิงทัศนศิลป์จึงยังคงความเป็นเอกเทศและโดดเดี่ยวจากผู้คนจำนวนมาก
ในขณะเดียวกันก็มีความลักลั่น ย้อนแย้ง (paradox)
ตราบใดก็ตามที่ยังคงความต้องการที่จะสัมผัสเชื่อมโยงเข้ากับ ประชาชน อยู่
เพราะอย่างน้อยๆ
ที่สุดผลงานศิลปะของศิลปินก็ไม่สามารถที่จะเข้าถึงคนส่วนใหญ่ได้เท่ากับภาพวาดการ์ดตูน
ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะจัดการ์ตูนให้เป็นผลงานทางศิลปะ
นอกจากนั้นนักเขียนการ์ตูนไทยเองก็ไม่สามารถที่จะมีชื่อเสียงได้มากเท่ากับศิลปินคนดัง
ในแง่ของบทบาทแล้วการ์ตูนเป็นสิ่งที่ดูจะเป็นจริงและเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของผู้คนโดยเฉพาะคนที่มีลูกมากกว่าผลงานศิลปะที่อยู่ตามพิพิธภัณฑ์หรือแกลลอรี่ต่างๆ
ในทำนองเดียวกันกับสื่อประเภทอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ ฯลฯ
พื้นที่ของผลงานที่ผู้คนนิยมทั้งหลายเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมมากกว่าผลงานศิลปะที่ทรงคุณค่าทั้งหลาย
ผลงานศิลปะคลาสสิคเป็นเรื่องของชนชั้นในความหมายดั้งเดิมของคำว่า Classicus
มากกว่าที่จะเป็นสิ่งที่มีความหมายของการได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในหมู่ชนชั้นต่ำที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ
ไม่ว่าจะเป็นประเทศใดก็ตาม ความพยายามของศิลปะแบบป๊อป (Pop Art)
และศิลปะแนวทางอื่นๆ ในช่วงทศวรรษที่ 1960
ถึงแม้ว่าจะทะลายความแตกต่างของลำดับชั้นทางศิลปะ
แต่นั่นเป็นเพียงการทำลายหรือเปลี่ยนแปลงมาตรฐานของศิลปะที่ปรากฎอยู่ในพื้นที่ทางศิลปะของชนชั้นสูงมากกว่าที่จะเป็นการทำลายโครงสร้างทางชนชั้นที่กำหนดมาตรฐานของความเป็นศิลปะเอง
ศิลปะที่เต็มไปด้วยการเล่น การล้อ โดยผ่านสื่อง่ายๆ
ทั้งหมดเป็นเพียงการดูดกลืน วัตถุธรรมดาๆ เช่น การ์ตูน
ให้ขึ้นไปสู่ระบบการจัดระเบียบทางศิลปะเท่านั้น
ในทำนองเดียวกันกับการดูดกลืนอาหารอย่าง ลาบ ส้มตำ ให้กลายเป็น อาหารมาตรฐาน
แต่ผลงานศิลปะที่อ้างอิงกับการ์ตูนไม่ว่าจะเป็นในระดับ มังกะ หนูจ๋า และ ชัย
ราชวัตร ก็ไม่สามารถที่จะเข้าถึง รสชาติ ของผู้คนได้เท่ากับลาบส้มตำ
เพราะลาบส้มตำหน้าปั้มน้ำมันเป็นอาหารยอดนิยมของแท๊กซี่มากกว่าที่จะเป็น
แท๊กซี่ในผลงานศิลปะ ความเป็นศิลปะที่ผ่านสิ่งของที่ดำรงอยู่ในชีวิตประจำวัน เช่น
การ์ตูน โซ่สายพานรถยนต์ ฯลฯ จึงเป็นเพียงวิสามัญนาม
ที่บ่งบอกถึงความพิเศษจากความเป็นอัตวิสัยของศิลปิน แต่อย่างน้อย
นี่ก็เป็นเงื่อนไขสำคัญของความเป็นศิลปะสมัยใหม่
ในแง่นี้ความไม่ชัดเจนของวัตถุทางศิลปะกลับไม่ได้ทำให้ตัวตนของศิลปินไม่มีความชัดเจนแต่อย่างใด
ในทางตรงกันข้ามตัวตนของศิลปินมีความชัดเจนในความเป็นเอกเทศตามแนวทางของสภาวะสมัยใหม่อย่างเต็มที่ภายใต้ศิลปะที่เกิดขึ้นจากวัสุดอุปกรณ์นานาชนิด


