ศิลปะ
หัตถกรรม สถาปัตยกรรม ประติมากรรม สันทนาการ
การรวมศูนย์ศิลปะของการกระจายตัวของศิลปะและการเมืองฯ
การรวมศูนย์ศิลปะของการกระจายตัวของศิลปะและการเมือง
จากสภาวะสมัยหลังใหม่สู่สภาวะสมัยใหม่
ธเนศ วงศ์ยานนาวา คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
สภาวะสมัยใหม่ในฐานสำนึกทางเวลาที่เป็นเส้นตรง
วิกฤติและการปฎิวัติ
สภาวะสมัยใหม่กับการรวมศูนย์และรวมสายตา
สภาวะหลังสมัยใหม่ที่เป็น ของเก่า
การกลับหัวกลับหางและความแปลกแยก
การดูดกลืนผู้ชมเข้าสู่สภาวะสมัยใหม่
วัตถุและบรรยากาศของศิลปะที่ไม่ยืนยาว
อาณาเขตที่หลากหลายของศิลปะกับการสิ้นสุดของความเป็นเอกเทศ
เส้นทางอนันต์ (infinity) ของอนาคต
สภาวะสมัยใหม่กับการรวมศูนย์และรวมสายตา
ในสภาวะสมัยใหม่ไม่ว่าจะเป็นภาพเหมือนดูสอดคล้องสรรพสิ่งภายนอกหรือจะเป็นภาพนามธรรมก็ตาม
ทั้งหมดต่างก็เป็นภาพที่เกิดขึ้นจากการวางกรอบความคิดที่จะนำไปกำหนดสรรพสิ่งที่อยู่ภายนอก
แนวความคิดแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏอยู่แค่ศิลปะสมัยใหม่แบบมิได้แสดงออกมาในรูปของภาพตัวแทน
(representation) เท่านั้น แต่ยังปรากฏอยู่ในความคิดแบบ Descartes ในเรื่องของ
Anamorphosis (ana= กลับ และ morphe = รูปแบบ)
ที่เป็นการสร้างภาพที่เกิดจากแนวความคิดและเทคนิคโลกของศิลปะจึงเป็นโลกแห่งการสร้างมากกว่าที่จะเป็นโลกแห่งความจริงที่เห็นได้ด้วยร่างกาย
การใช้แนวความคิดแบบจุดรวมสายตา (perspective) เป็นตัวอย่างที่ดี
ภายใต้หลักการของจุดรวมสายตา โลกทั้งโลกก็จะกลายเป็นเพียง ภาพ
ที่เกิดขึ้นจากมุมมองผ่านกรอบของหน้าต่าง (window) เมื่อเป็นหน้าต่างก็หมายความว่า
โลกจำเป็นที่จะต้องมีกรอบ (frame) เมื่อมีกรอบก็มีข้อจำกัด มีอาณาเขต
ในแง่นี้ภาพที่วาดขึ้นจึงไม่ใช่เรื่องของความจริงที่เห็นได้ด้วยประสาทสัมผัสแบบที่เห็นผ่านลูกนัยน์ตา
แต่เป็นภาพที่เกิดขึ้นจากการกำหนดด้วยรูปแบบทางคณิตศาสตร์ที่แก้ไขภาพลวงตาที่เกิดขึ้นจากการเห็นด้วยตามนุษย์ที่เต็มไปด้วยข้อจำกัด
ภาพวาดจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการสร้างกรอบแนวความคิดมากกว่าที่จะเป็นภาพที่เห็นด้วยตาเปล่า
โลกแห่งศิลปะจึงเป็น โลกของความลวง มาตั้งแต่เริ่มต้น โดย ความลวง
ในที่นี้หมายถึงภาพที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้สอดคล้องกับสายตาที่มองเห็น
แต่นี่ไม่ใช่การบิดเบือน
ในทางตรงกันข้ามนี่เป็นแรงปรารถนาที่จะมุ่งไปสู่ความเป็นจริง
โดยความจริงที่ว่านี้ก็ย่อมจะต้องอยู่ในความสัมบูรณ์ (Absolute)
ที่ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ภายใต้กรอบความคิดที่บังคับให้โลกเป็นไปตามแบบที่พึงปรารถนา
จุดรวมสายตาเป็นเพียงสิ่งประดิษฐ์ที่กำหนด ภาพของโลก
มากกว่าที่จะเป็นเรื่องของความจริงของสายตา
เพราะนี่เป็นเพียงจุดรวมสายตาสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นหรือ perspectiva artificialis
สำหรับความจริงที่ว่านี้มีเพียงอันเดียว
ประหนึ่งว่าโลกนี้มีพระเจ้าเพียงองค์ตามกรอบความคิดและความเชื่อของคริสตศาสนา
แม้ว่าความพยายามจะพัฒนาจุดรวมสายตาในเชิงเรขาคณิตจะเป็นสิ่งที่ได้รับการพัฒนาอย่างมากในยุคโบราณ
แต่การมีจุดรวมสายตาเพียงอันเดียว (central perspective)
ไม่ใช่กรอบความคิดของคนโบราณและก็ยังไม่ใช่กรอบความคิดของพวกมนุษยนิยมในอิตาลีด้วย
แม้กระทั่งจนถึงราวศตวรรษที่สิบหก
การเปลี่ยนแปลงกรอบความคิดจากความหลากหลายจุดไปสู่ความเป็นหนึ่งเดียวและเป็นหนึ่งที่เป็นศูนย์กลางหรือจุดเดียวไม่ได้เกิดขึ้นแต่ในศิลปะเท่านั้น
กรอบความคิดของความเป็นหนึ่งเดียวและการเป็นศูนย์กลางที่บ่งบอกถึงการรวบเอาทุกสิ่งทุกอย่างเข้ามาที่ศูนย์กลางยังปรากฏให้เห็นอยู่ในกระบวนการสถาปนารัฐสมบูรณายาสิทธิราช
(absolutist state) ในยุโรปในศตวรรษที่สิบเจ็ด
กระบวนการของการรวบอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง (centralization)
เป็นกระบวนการสำคัญของประวัติศาสตร์ความเป็นสภาวะสมัยใหม่
ไม่เพียงแต่เท่านั้นกระบวนการรวบอำนาจเข้าสู่ส่วนกลางยังเป็นคุณสมบัติของการเป็นรัฐสมัยใหม่อีกด้วย
กระบวนการรวบอำนาจให้อยู่ภายใต้อำนาจเดียว
มีจุดศูนย์กลางเดียวมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นภายใต้เงื่อนไขของความเป็นรัฐประชาชาติที่รวบรวมเอาคนที่หลากหลาย
ร้อยพ่อพันแม่ ให้มารวมเลือดเนื้อชาติเชื้อของใครต่อใครให้กลายเป็นประชารัฐ
หรือถ้าจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ รัฐประชาชาติ
โดยรัฐประชาชาตินี้ก็อยู่ภายใต้กรอบความคิดของความเป็นหนึ่งเดียวที่ไม่สามารถจะแยกออกเป็นส่วนๆ
เสมือนจุดรวมศูนย์มีเพียงอันเดียว
ความคิดแบบนี้ปรากฎอยู่ในแนวความคิดเรื่องอำนาจอธิปไตย (sovereignty)
โดยอำนาจอธิปไตยที่มีความเป็นหนึ่งเดียวกันนี้เป็นกระบวนที่มีรากฐานมาจาก
(หรือเป็นของ) ประชาชน (people)
สำหรับความเป็น ประชาชน
ก็ไม่สามารถที่จะมีลักษณะที่หลากหลายได้แบบกลุ่มชน (multitude) ที่หลากหลาย
เพราะถ้าจะสอดคล้องกับอำนาจอธิปไตยที่มีความเป็นหนึ่งเดียวแล้วก็จำเป็นที่จะต้องเป็นหนึ่งเดียวหรือเป็นเอกภาพที่แบ่งแยกไม่ได้ด้วย
เมื่อมีความเป็นหนึ่งเดียวก็ทำให้สภาวะของประชาชนหรือความเป็นประชาชนไม่มีลักษณะทางชนชั้น
ไม่มีความรวย ไม่มีความจน ไม่มีเพศหญิง ไม่มีเพศชาย ไม่มีจุดยืนในทางการเมือง
ไม่มีการแบ่งค่ายทางการเมือง ฯลฯ
สภาวะของความเป็นประชาชนจึงมีแต่ความเป็นนามธรรมเฉกเช่นอำนาจอธิปไตย
กระบวนการสร้างการมีและเป็นศูนย์กลางเป็นเงื่อนไขสำคัญของความเป็นสภาวะสมัยใหม่
การดำเนินตามศูนย์กลางไม่ว่าจะเป็นวิถีปฏิบัติและความคิดย่อมนำไปสู่กระบวนการสร้างความเป็นเอกพันธุ์
(homogenization) และการมีมาตรฐานเดียว (standardization)
ซึ่งทั้งหมดดำเนินการภายใต้ความเป็นหนึ่งเดียว ไม่ว่านั่นจะเป็น Rationality
หรือพระผู้เป็นเจ้าที่มีเพียงองค์เดียวก็ตาม
การรวบอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางเหล่านี้เป็นเงื่อนไขสำคัญที่สภาวะสมัยใหม่สร้างปฏิกริยาที่มีต่อตัวเอง
เพราะในตรรกะของความเป็นสภาวะสมัยใหม่การตัดขาดหรือการปฏิเสธเงื่อนไขการดำรงอยู่
ไม่ว่าจะเป็นไปในกรอบของวิกฤติและการปฏิวัติ
ก็ทำให้สภาวะสมัยใหม่จำเป็นที่จะต้องล้มล้างตัวเองหรือปฎิวัติตัวเอง
กระบวนการสร้างมาตรฐานทางศิลปะนับตั้งแต่
ความรู้เรื่องจุดรวมสายตาไปจนถึงสุนทรียศาสตร์ ฯลฯ
เป็นสิ่งที่สอดคล้องกับการสถาปนารัฐสมัยใหม่และการรวบอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง
ในขณะเดียวกันก็แยกสิ่งที่อยู่ภายในพื้นที่ออกจากสิ่งที่อยู่ภายนอก
สำหรับในศิลปะก็เพื่อที่จะสร้างให้ศิลปะมีความเป็นเอกเทศ
แต่ก็ยังคงเป็นความเป็นเอกเทศที่เกิดขึ้นจากกลไกทางการเมืองมากกว่าที่จะเป็นพัฒนาการของอาณาเขตของศิลปะเอง
เพราะทั้งหมดดำเนินผ่านกลไกของการสถาปนาความรู้ทางศิลปะในรูปของสาขาวิชา
(disciplines) ที่ปรากฏทั้งในรูปของการเป็นองค์ความรู้ (body of knowledge)
และสถาบันการศึกษาซึ่งเป็นกลไกสำคัญของการเมืองในกรอบของรัฐประชาชาติ
ตัวอย่างที่เห็นได้ในกรณีของประเทศไทยก็คือ ศิลป์ พีระศรี
การสถาปนาองค์ความรู้และสถาบันการศึกษาทำให้ ศิลป์ พีระศรี แตกต่างๆ
จากการใช้จุดรวมสายตาแบบขรัวอินโข่ง
เพราะขรัวอินโข่งยังไม่สามารถที่จะพัฒนาหลักการจุดรวมสายตาขึ้นมาเป็นความรู้ที่เป็นสาขาวิชาขึ้นมาได้
เทคนิคและการสถาปนาความรู้ทางศิลปะจึงไม่ได้เป็นเอกเทศอย่างสมบูรณ์ตามหลักการจำแนกอาณาเขตต่างๆ
ของสภาวะสมัยใหม่ที่ต้องการแยก เศรษฐกิจ การเมือง สังคม ศาสนา จริยธรรม และสุนทรียะ
ออกจากกัน โดยแต่ละพื้นที่ต่างก็มีปริฆณฑลที่มีความเป็นเอกเทศของตัวเอง
แต่ทั้งหมดก็เป็นเพียงแค่อุดมคติ (ideal) ที่จะต้องบากบั่นไปให้ถึง
อย่างไรก็ตามความมุมานะดังกล่าวไม่ได้ยืนยาวขนาดนั้น
ความล้มเหลวของการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งสภาวะสมัยใหม่
ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมกัน การต่อต้านสงคราม
การเรียกร้องสิทธิสตรี กลับปูทางไปสู่สภาวะหลังสมัยใหม่
เพียงแต่สภาวะหลังสมัยใหม่เป็นสิ่งที่เก่ากว่าสภาวะสมัยใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางศิลปะ


