ศิลปะ
หัตถกรรม สถาปัตยกรรม ประติมากรรม สันทนาการ
การรวมศูนย์ศิลปะของการกระจายตัวของศิลปะและการเมืองฯ
การรวมศูนย์ศิลปะของการกระจายตัวของศิลปะและการเมือง
จากสภาวะสมัยหลังใหม่สู่สภาวะสมัยใหม่
ธเนศ วงศ์ยานนาวา คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
สภาวะสมัยใหม่ในฐานสำนึกทางเวลาที่เป็นเส้นตรง
วิกฤติและการปฎิวัติ
สภาวะสมัยใหม่กับการรวมศูนย์และรวมสายตา
สภาวะหลังสมัยใหม่ที่เป็น ของเก่า
การกลับหัวกลับหางและความแปลกแยก
การดูดกลืนผู้ชมเข้าสู่สภาวะสมัยใหม่
วัตถุและบรรยากาศของศิลปะที่ไม่ยืนยาว
อาณาเขตที่หลากหลายของศิลปะกับการสิ้นสุดของความเป็นเอกเทศ
เส้นทางอนันต์ (infinity) ของอนาคต
สภาวะหลังสมัยใหม่ที่เป็น ของเก่า
คำว่าหลังสมัยใหม่ไม่ได้เป็นคำที่ไม่เพียงแต่จะหาคำจำกัดความได้ง่ายๆ เท่านั้น
เพราะไม่มีใครที่ใช้ในความหมายที่เหมือนกัน
คำว่าหลังสมัยใหม่สามารถที่จะมีความหมายในทางแบบก้าวหน้า (progressive)
ในลักษณะของการต่อต้านสถาบันหลักทางสังคม (establishment)
หรือมีความหมายถึงการสิ้นสุดอะไรบางอย่าง การถึงจุดจบ เช่น จุดจบของประวัติศาสตร์
(the end of history) จุดจบของศิลปะ (the end of art) เป็นต้น
หรือจะเป็นหลังสมัยใหม่ในฐานะที่เป็นบรรยากาศของยุคสมัย
หลังสมัยใหม่ในฐานะต่อต้านแนวความคิดสุนทรียะ (anti-aesthetics) ของกระฎุมพี
สำหรับการต่อต้านสุนทรียะนี้ก็เป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นมาตลอดศตวรรษที่ยี่สิบอันเป็นปรากฏการณ์ที่
Arthur C. Danto เรียกว่า Kalliphobia ซึ่งมีนัยของสภาวะทางจิต แม้ว่า Danto
เองจะไม่ได้ชี้ชัดในลักษณะแบบนั้นก็ตาม
นอกจากนั้นสภาวะหลังสมัยใหม่ก็ยังอยู่ในฐานะที่เป็นผลิตผลของระบบทุนนิยมขั้นปลาย
(late capitalism) ลักษณะหลังสมัยใหม่ในฐานะสไตล์ (style)
ตามแบบที่ปรากฏอยู่ในงานสถาปัตยกรรม รูปแบบในการเล่าเรื่อง (narration)
ที่แตกต่างไปจากเวลาแบบเส้นตรงที่ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์และวรรณกรรม
ในขณะที่บางคนก็เห็นว่าสภาวะหลังสมัยใหม่แสดงให้เห็นความล้มเหลวของการไปสู่อุดมคติแบบสมัยใหม่
บางคนก็เห็นว่านี่เป็นเพียงการบรรยายสภาวะที่ดำรงอยู่มากกว่าที่จะเป็นการประเมินค่า
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรคำว่า หลังสมัยใหม่
ก็ยังแสดงความสับสนอย่างคงเส้นคงวาครั้นถ้าหลังสมัยใหม่ดูจะเป็นอะไรก็ได้
หลังสมัยใหม่ก็กลายเป็นศูนย์กลาง
หลังสมัยใหม่ไม่สามารถที่จะทำลายความเป็นศูนย์กลางได้
เพราะกลับกลายเป็นศูนย์กลางเสียเอง
นอกจากนั้นเมื่อเป็นอะไรก็ได้หมดก็ทำให้หลังสมัยใหม่ไม่เป็นอะไรเลย
ทุกอย่างจึงมีแต่ความว่างเปล่า
ครั้นถ้าจะว่าไปแล้วคำว่าสภาวะสมัยใหม่เองก็สร้างความหมายที่วุ่นวายไม่น้อยไปกว่ากัน
ดังจะเห็นได้ว่าคำว่าสมัยใหม่ก็สร้างความสับสนได้มากเช่นกัน
เมื่อคำว่าสมัยใหม่สร้างความสับสนวุ่นวายในความหมายก็จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่หลังสมัยใหม่จะสร้างความสับสนได้ในทิศทางเดียวกัน
สำหรับคำว่าสภาวะหลังสมัยใหม่เองก็ไม่ได้เป็นผลพวงของสภาวะหลังสมัยใหม่แต่อย่างใด
ในทางตรงกันข้ามกลับเป็นคำของสภาวะสมัยใหม่ที่อยู่ในโลกศตวรรษที่สิบเก้า
ประวัติความเป็นมาของคำว่าหลังสมัยใหม่เองสามารถที่จะย้อนรอยกลับไปสู่ทศวรรษที่
1880 เมื่อนักวาดรูปชาวอังกฤษ John Watkin Chapman ใช้โจมตีศิลปะแบบ Impressionism
ว่าเป็นศิลปะสถุล ดังนั้นศิลปะ Impressionism จึงเป็นศิลปะหลังสมัยใหม่
แต่การใช้คำว่า Post-Modern
ของเขานั้นก็เป็นเพียงความพยายามที่จะทำให้คำวิจารณ์ของเขาไม่ดูมีความเป็นอนุรักษ์นิยมมากเกินไป
ความหมายของหลังสมัยใหม่จึงเป็นความหมายในทางลบ
เพราะบ่งบอกถึงความล้มเหลวของโครงการสมัยใหม่ (modernity project)
ผลงานของ Margaret A.
Roseได้รวบรวมและแบ่งแยกความหมายที่แปรเปลี่ยนไปของความหมายของหลังสมัยใหม่ตามยุคต่างๆ
ไว้ นับตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ยี่สิบออกเป็นก่อนทศวรรษที่ 1950 มาจนถึงทศวรรษที่
1970 อย่างไรก็ตามภาพลักษณ์ในทางลบแบบของหลังสมัยใหม่ยังคงปรากฏต่อมาเรื่อยๆ
ในงานของผู้คนต่างๆ มากมาย เช่น ในปี 1917 Rudolf Pannwitz ที่เห็นว่า
มนุษย์หลังสมัยใหม่เป็นผู้ที่แข็งแกร่งแต่ภายนอก แต่อ่อนปวกเปียกภายใน
ไล่มาจนถึงบุคคลที่มีบทบาทอย่างมากในการทำให้คำว่า หลังสมัยใหม่แพร่หลายในระยะต่อๆ
มานั่นก็คือ Arnold J. Toynbee ในปี ค.ศ. 1939
โดย Toynbee เห็นว่าสภาวะของยุโรปหลังปี ค.ศ. 1914 เป็นสภาวะหลังสมัยใหม่
ผลงานของเขาหลังสงครามโลกครั้งที่สองก็ทำให้สังคมหลังสมัยใหม่บ่งบอกถึงคุณลักษณะของการขึ้นมาของชนชั้นกรรมาชีพที่กลายเป็นชนชั้นกลาง
ตลอดจนสภาวะของความขัดแย้งระหว่างวิทยาศาสตร์และศาสนา
ผลงานของนักสังคมวิทยาปีกซ้ายอย่าง C. W. Mills
ของสหรัฐอเมริกาใช้สภาวะหลังสมัยใหม่ในฐานะของการล่มสลายของอุดมคติแบบภูมิธรรมหรือยุคแสงสว่าง
(Enlightenment)
สภาวะหลังสมัยใหม่ในฐานะความเสื่อมยังปรากฏอยู่ให้เห็นในความคิดของปัญญาชนอเมริกันอย่าง
Irving Howe
ที่ชี้ให้เห็นถึงความเสื่อมของศีลธรรมและสุนทรียะแบบสมัยใหม่และแนวทางแบบคลาสสิค
(classicism)
ในขณะที่ทศวรรษที่ 1960
ความหมายของความเสื่อมได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นการต่อต้านวัฒนธรรมและสถาบันหลักของสังคม
ความหมายในการต่อต้าน Rationality ปรากฏให้เห็นอยู่ในงานด้านสถาปัตยกรรมของ
Nikolaus Pevsner และงานในด้านวรรณคดีของ Leslie Fiedler จนกระทั่งถึงผลงานของ Ihab
Hassan นักวรรณคดีวิจารณ์ที่จัดให้สภาวะหลังสมัยใหม่เป็นสภาวะของความไร้ระเบียบ
สภาวะที่ไม่สามารถที่จะกำหนดอะไรล่วงหน้าได้
แต่ในขณะเดียวกันสภาวะหลังสมัยใหม่ก็เปิดโอกาสใน การมีส่วนร่วม (participation)
สำหรับความคิดในเรื่องของการมีส่วนร่วมนี้ก็เป็นแนวความคิดที่เริ่มปรากฏให้เห็นเด่นชัดมากขึ้นในช่วงทศวรรษที่
1950
ในขณะที่ทศวรรษ 1970
ความหมายของหลังสมัยใหม่ได้กลายมาเป็นเรื่องของการวิพาษ์และการมีนวัตกรรม
(innovation) ใหม่ๆ ผลงานของ Charles Jencks
ในด้านสถาปัตยกรรมดูจะเป็นคนหนึ่งในจำนวนไม่กี่คนที่ชื่นชมต่อสภาวะหลังสมัยใหม่ โดย
Jencks ให้ความสำคัญกับลักษณะพันธุ์ผสม (hybridity)
การเป็นลูกครึ่งมากกว่าที่จะพิจารณาคุณลักษณะความบริสุทธิ์ (purity)
แบบสภาวะสมัยใหม่ แนวทางสถาปัตยกรรมแบบนี้ถูกโจมตีจาก Frederic Jameson
ว่าเป็นแนวทางแบบประชานิยม (populism)
ครั้นเมื่อกล่าวถึงลักษณะของประชานิยมก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพิจารณาถึงมวลชนที่บ่งบอกถึงจำนวนที่มากมายมหาศาล
เช่น ความเป็นป๊อปไม่ว่าจะเป็น วรรณกรรม เพลง ที่สามารถขึ้นอันดับขายดี เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม Frederic Jameson
เห็นว่างานที่บรรลุเป้าหมายในแง่ของจำนวนที่มหาศาลนั้นเป็นสิ่งที่เจริญเติบโตไปพร้อมกับสมัยใหม่นิยมขั้นสูง
(high modernism) ที่มีลักษณะโดดเด่นและไม่ใช่งานตลาดอันกลับทำให้แยกขาดไปจากมวลชน
ในขณะที่ผลงานที่มีชื่อเสียงของนักสังคมวิทยาอเมริกันอย่าง Daniel Bell
ก็ยังจัดให้สภาวะหลังสมัยใหม่อยู่ในแนวคิดที่ต่อต้าน Rationality
ส่วนผลงานของนักคิดฝรั่งเศส Jean Baudrillard
ก็พิจารณาสภาวะหลังสมัยใหม่ในทางลบด้วยเช่นกัน
เพราะสภาวะหลังสมัยใหม่ทำให้เรื่องของ ความหมาย (meaning)
เป็นสิ่งที่ไม่มีอีกต่อไป
สำหรับในบรรดาคนที่ต่อต้านสภาวะหลังสมัยใหม่ที่มีความโดดเด่นมากที่สุดก็ได้แก่นักปรัชญาเยอรมันอย่าง
Jurgen Habermas
และก็เป็นคนที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงมากที่สุดคนหนึ่งในฐานะผู้ที่ต่อต้านแนวทางหลังสมัยใหม่
โดยนักปรัชญาเยอรมันผู้นี้นำเอาความคิดแบบหลังสมัยใหม่หรือที่รู้จักกันในนามหลังโครงสร้างนิยม
(post-structuralism) ของฝรั่งเศสเข้าไปผูกกับความคิดแบบอนุรักษ์นิยมรุ่นเยาว์
(young conservative) มากกว่าที่จะเป็นอนุรักษ์นิยมใหม่ที่ Habermas
หมายถึงปัญญาชนและนักวิชาการอเมริกัน
และยังแสดงนัยว่าความคิดแบบนี้จะเป็นการปูทางไปสู่ความคิดแบบนาซี
อย่างไรก็ตามการเชื่อมโยงเข้ากับความคิดนาซีดูจะเป็นลักษณะพิเศษของประเทศเยอรมนีเอง
นี่ย่อมทำให้อีกหลายๆ
ประเทศไม่สามารถที่จะเชื่อมโยงได้เพราะไม่ได้มีประวัติศาสตร์บาดแผลสงครามแบบพวกเยอรมัน
เช่น ประเทศไทย หรือแม้กระทั่งสหรัฐอเมริกา
สำหรับคนที่ได้รับการอ้างอิงมากที่สุดคนหนึ่งในเรื่องของหลังสมัยใหม่ก็คงจะเป็นนักปรัชญาฝรั่งเศสอย่าง
Jean-Francois Lyotard ที่ใช้คำว่า หลังสมัยใหม่
อันเป็นสิ่งที่หายากในงานของนักปรัชญาฝรั่งเศสที่ได้ชื่อว่าเป็นพวกที่เอาเชื้อหลังสมัยใหม่ในแง่กรอบคิดและปรัชญามาเผยแพร่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกาและประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ
ในขณะเดียวกันความคิดของนักปรัชญาเหล่านี้ก็ยังเป็นที่รู้จักกันในนามว่า
หลังโครงสร้างนิยม (post-structuralism) ในแง่นี้จึงทำให้ หลังโครงสร้างนิยม
ผูกพันกับความเป็นหลังสมัยใหม่
แต่นั่นก็หาใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในพื้นที่ของสถาปัตยกรรม
เพราะในสถาปัตยกรรมหลังสมัยใหม่มาก่อน หลังโครงสร้างนิยม
ในบรรดานักปรัชญาฝรั่งเศสที่ถูกขนานนามว่าเป็นพวกหลังสมัยใหม่จะมีแต่
Lyotard เท่านั้นที่ใช้คำๆ นี้อย่างโจ่งแจ้ง นอกจากนั้นเขาเองก็ไม่ใช่พวก
หลังโครงสร้างนิยม
เพราะเขาเองไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับโครงสร้างและหลังโครงสร้างนิยมแต่อย่างใด
สำหรับ Lyotard แล้วสภาวะหลังสมัยใหม่เป็นการต่อต้านการลักษณะอภิบรรยาย
(metanarrative)
อันหมายถึงการบรรยายที่เน้นถึงพลังหลักหรือตัวแปรอิสสระตัวใดตัวหนึ่งที่สามารถอธิบายสภาวะต่างๆ
โดยไม่จำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงเวลาและสถานที่
ดังเช่นที่ปรากฏอยู่ในผลงานปรัชญาและทฤษฎีต่างๆ
สำหรับบุคคลที่โดดเด่นอีกคนหนึ่งในการวิพากษ์สภาวะหลังสมัยใหม่ก็ได้แก่นักวิชาการฝ่ายซ้ายอย่าง
Frederic Jameson ที่พิจารณาว่า
สภาวะหลังสมัยใหม่เป็นรูปแบบของการพัฒนาของระบบทุนนิยมขั้นปลายและสังคมบริโภค
จากที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นจะเห็นได้ว่า
ปฏิกิริยาที่มีต่อตัวสภาวะสมัยใหม่เองที่สร้างนววัตกรรมใหม่ๆ
ขึ้นมาก็ทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านจากจารีต (tradition)
ความพยายามที่จะหลุดออกจากความเป็นจารีตประเพณีก็ทำให้เมื่อกาลเวลาผ่านไปนวัตกรรมใหม่ๆ
ก็กลับสถาปนาตัวเองกลายเป็นจารีตที่กลับมาเป็นปฏิปักษ์ต่อสิ่งใหม่ๆ เสียเอง
ดังนั้นด้วยแรงต้านของจารีตประเพณีก็ทำให้นวัตกรรมกลายเป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาอีกต่อไป
แต่ภายในความเป็นสภาวะสมัยใหม่เองก็จำเป็นที่จะต้องผลิตสิ่งใหม่ๆ สิ่งใหม่ๆ
จึงเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันภายในสภาวะสมัยใหม่
ในแง่นี้สภาวะหลังสมัยใหม่ในกรอบของความเป็นสภาวะสมัยใหม่จึงเป็นที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและยอกย้อน
(paradox) อยู่เสมอ
ถ้าจะกล่าวอีกนัยหนึ่งสภาวะหลังสมัยใหม่เป็นสิ่งที่อยู่ในตัวสภาวะสมัยใหม่เอง
สภาวะหลังสมัยใหม่จึงไม่ได้เป็นสิ่งที่อยู่ตามหลังสภาวะสมัยใหม่
ในทางตรงกันข้ามถ้าพิจารณาจากความคิดของ Jean-Francois Lyotard
ในผลงานที่ได้รับการอ้างอิงมากมายอย่าง The Postmodern Condition: A Report on
Knowledge ที่ถือว่าเป็นคัมภีร์ของพวกหลังสมัยใหม่แล้ว Lyotard ได้กล่าวว่า
งานชิ้นใดชิ้นหนึ่งจะเป็นสมัยใหม่ได้ก็ต่อเมื่อมันต้องเป็นหลังสมัยใหม่ก่อน
ดังนั้นจะต้องเข้าใจความคิดของสภาวะหลังสมัยใหม่ (postmodern)
ว่าไม่ใช่อยู่ในฐานะที่เป็นเป้าหมายของความคิดของความเป็นสภาวะสมัยใหม่
แต่เป็นขั้นตอนระยะฟักตัวและสภาวะนี้ก็เป็นสภาวะที่ดำรงอยู่อย่างคงที่
ความคิดของ Lyotard แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า
สภาวะหลังสมัยใหม่ไม่ได้เป็นสิ่งที่ตามหลังสภาวะสมัยใหม่แต่อย่างใด
สภาวะหลังสมัยใหม่เป็นสภาวะที่คงที่หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นสภาวะที่ถาวร
สภาวะหลังสมัยใหม่จึงเป็นสภาวะอดีตและปัจจุบัน
เมื่อเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่าสภาวะของดำรงอยู่ของสรรพสิ่งต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นดินแดนผิวขาว ผิวเหลือง ผิวดำ
ต่างก็อยู่ในพื้นที่ของหลังสมัยใหม่เพราะสภาวะสมัยใหม่เป็นเพียงโลกในอุดมคติที่ยังไม่มีใครไปถึง
สภาวะสมัยใหม่จึงกลับเป็นสิ่งที่อยู่ในอนาคต
ในขณะเดียวกันอนาคตก็เป็นสิ่งที่ไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อเป็นดังนั้นอนาคตจึงเป็นสิ่งที่ยังไม่เคยมาถึง
เพราะสำหรับเมื่ออยู่ในวันนี้พรุ่งนี้ก็ยังคงเป็นวันพรุ่งนี้อยู่เสมอ
อนาคตยังคงความเป็นอนาคตอย่างไม่เปลี่ยนแปลง
การไปถึงเป้าหมายในอนาคตจึงก่อให้เกิดสภาวะที่มีแต่ความอ่อนล้าจนหมดเรี่ยวแรง
ดังราวกับการรอคอยพระผู้เป็นเจ้าลงมาโปรดประทานอภัยและช่วยให้พ้นทุกข์โดยเร็วนั้นไม่สามารถที่จะออดทนกันต่อไปได้อีก
ความศรัทธาที่มีต่อพระเจ้าก็เสื่อมคลายดังเช่นความศรัทธาที่ละเหิดหายไปในกับสภาวะสมัยใหม่
สภาวะแห่งความศรัทธาไม่ได้เป็นสิ่งที่มีความสำคัญอีกต่อไป
ทั้งนี้ก็เนื่องด้วยว่าอุดมคติของความเป็นสภาวะสมัยใหม่เป็นสิ่งที่กลายเป็นเพียงการรอคอยที่ไม่เคยมาถึง
สำหรับหลายต่อหลายคนสภาวะสมัยใหม่จึงเป็นสภาวะที่ทารุณและโหดร้ายมากเกินไปกว่าที่จะรับได้
เช่น จักรกลของระบบองค์กรขนาดใหญ่ (bureaucracy)
ที่ปรากฏอยู่ในรัฐนาซีที่นำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (genocide)


