สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
สถาบันที่สำคัญของสหภาพยุโรป
สมาชิกสหภาพยุโรป
การรวมกันของสมาชิกในทวีปยุโรป
ยุโรปความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกามิติใหม่
ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่สำคัญคือ เงินยูโร
บทบาทมหาอำนาจสหรัฐอเมริกาในองค์การการค้าโลกกับสหภาพยุโรป
สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป
การกีดกันการค้าที่มิใช่ภาษีในอุตสาหกรรมอาหาร
ยุโรปกับสหรัฐอเมริการในมิติใหม่
เป้าหมายและวิธีการของอียู
ยุโรปกับสหรัฐอเมริการในมิติใหม่
การลงนามในข้อตกลงก่อตั้งสภาพยุโรป
(European Union) ณ เมืองมาสทริกท์ ประเทศเนเธอแลนด์ ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ.
1992 โดย 12 ประเทศ
ประเทศสมาชิกประชาคมยุโรปอาจถือได้ว่าเป็นก้าวกระโดดสำคัญของประชาคมยุโรป
ซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้เมื่อครั้งการลงนามในสนธิสัญญาปารีส
ซึ่งก่อตั้งประชาคมถ่านหิน และเหล็กยุโรป อันเป็นองค์การแห่งแรกของประชาคมยุโรปในปี
ค.ศ. 1951 และการลงนามในสนธิสัญญากรุงโรมสองฉบับเพื่อก่อตั้งประชาคมเศรษฐกิจยุโรป
และประชาคมพลังงานปรมาณูยุโรปในปี ค.ศ. 1957 ข้อตกลงก่อตั้ง สหภาพยุโรป
ฉบับใหม่นี้ ได้กำหนดทิศทางสู่การรวมตัวในทางเศรษฐกิจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
โดยจะผลักดันประชาคมยุโรปจากการเป็น ยุโรปตลาดเดียว สู่การเป็น
สหภาพทางเศรษฐกิจและการเงิน (Economic monetary Union)
ซึ่งนับเป็นปรากฏการณ์ครั้งใหม่
เพราะเดิมทีการประสานนโยบายที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง และทางทหารนั้น
จะทำในกรอบขององค์การนาโต้ ที่มีสหรัฐอเมริกาและแคนาดาร่วมเป็นภาคีอยู่ด้วย
การเพิ่มมิติทางด้านความมั่นคง
และทางการทหารภายในกรอบของกลุ่มประเทศสมาชิกประชาคมยุโรป
จึงแสดงให้เห็นถึงลักษณะการก่อตัวของเอกลักษณ์ยุโรปอีกมิติหนึ่ง
นอกเหนือจากมิติทางเศรษฐกิจที่แสดงออกจากประชาคมยุโรป เอกลักษณ์ทางการเมืองของยุโรป
แม้จะมีการกำหนดในกรอบที่ประสานและสอดคล้องกับนาโต้ก็ตาม
การประกาศเอกลักษณ์ในด้านความมั่นคงของยุโรป
จึงเป็นเครื่องแสดงถึงการตระหนักถึงบทบาทของยุโรปในทัศนะของกลุ่มประเทศประชาคมยุโรป
ซึ่งจะมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างไปจากสหรัฐอเมริกา
นอกจากนั้นยังเป็นเครื่องแสดงถึงทิศทางทางการเมืองในอนาคตของยุโรป
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ยุโรปกำลังจะเปลี่ยนตัวเองจากมหาอำนาจที่มีบทบาทอันจำกัด
และอยู่ในฐานะบทบาทของผู้ตามมากกว่าบทบาทของผู้นำในอดีตมาสู่การวางตัวเพื่อให้มีบทบาทในฐานะผู้นำในเวทีการเมืองโลกในอนาคต
นั่นก็คือ ผู้นำยุโรปกำลังมองตัวเองและผลักดันตัวเองสู่การเป็นอภิมหาอำนาจในอนาคต
โดยอาศัยกลไกการกระตุ้นการรวมตัวทางเศรษฐกิจและการเมือง เพื่อเสริมสร้างเอกาภพ
และความแข็งแกร่งให้แก่ตน
ว่ากันที่จริงแล้ว ทิศทางของยุโรปนั้น อาจจำแนกเป็น 2 แนวทางใหญ่ๆ
แนวทางหนึ่งนั้น อาจจะแสดงออกได้ดีจากสุนทรพจน์ของ นายจ๊าค เดอลอร์
ประธานกรรมาธิการประชาคมยุโรปที่กล่าวไว้เมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 1991 ว่า
ยุโรปจะเป็นการรวมตัว
ในลักษณะของการเป็นประชาคมที่เป็นการรวมตัวของประชาชนและรัฐชาติ
โดยมีวัตถุประสงค์เดียวกัน และมีการพัฒนาให้มีเอกลักษณ์ของยุโรปเดียวกัน และ
เอกลักษณ์ดังกล่าวนั้น จะต้องมีนโยบายเกี่ยวกับการป้องกันเป็นของตนเอง
อันเป็นนโยบายที่เปรียบเสมือนเสาหลักของพันธมิตรแอตแลนติก
เคียงคู่กับเสาหลักอีกเสาหนึ่งที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นตัวแทน
แนวคิดดังกล่าวย่อมแสดงให้เห็นถึงทิศทางของยุโรปในการมุ่งสู่การเป็นหุ้นส่วนที่เท่าเทียมกันในอนาคตกับสหรัฐอเมริกาในกรอบของพันธมิตรแอตแลนติก
ซึ่งหมายถึงการกำหนดบทบาทของยุโรปในฐานะ ตัวแสดง (Actor)
ในระบบการเมืองโลกไม่ใช่เป็นแค่คนดูดังในอดีต
ในอีกแนวทางหนึ่งนั้น ทัศนะของอดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ นางมาร์กาเร็ต
แธตเชอร์ ซึ่งแสดงไว้ในสุนทรพจน์เมื่อวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 1991 ที่ให้ไว้แก่
มูลนิธิ Heritage กรุงวอชิงตัน ย่อมสะท้อนแนวทางของอีกกลุ่มหนึ่งได้ดี
นางมาร์กาเร็ต ได้กล่าวไว้ดังนี้
ถ้าอภิรัฐยุโรปจะเกิดขึ้นก็จะเป็นการก่อกำหนดในลักษณะที่มีผลประโยชน์
และทัศนะที่แตกต่างไปจากสหรัฐอเมริกา ในสภาพดังกล่าวนั้นย่อมหมายความว่า
เรากำลังจะเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองระหว่างประเทศที่มีเสถียรภาพ
โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำ มาเป็นโลกใหม่ที่มีอันตรายมากขึ้น
อันเป็นโลกที่ประกอบด้วยกลุ่มการเมืองที่แข่งขันในอำนาจอื่นหลากหลาย
ในความเห็นของ นางมาร์กาเร็ต แธตเชอร์ นั้น
ยุโรปจะต้องไม่ใช่การรวมตัวเพื่อสร้างกลุ่มอันแน่นแฟ้น แต่ควรเป็น
ยุโรปแห่งรัฐชาติที่เปิดโอกาสให้ประเทศอื่นๆ นอกจากประชาคมยุโรป
โดยเฉพาะประเทศยุโรปตะวันออกเข้าร่วมด้วยในอนาคต
ข้อแตกต่างระหว่าง นายจ๊าค เดอลอร์ และนางมาร์กาเร็ต แธตเชอร์
อยู่ที่มุมมองตรงที่ว่า
ในขณะที่ประธานคณะกรรมาธิการประชาคมยุโรปมองยุโรปในลักษณะเอกลักษณ์อันหนึ่งอันเดียวกัน
หรือมองทิศทางสู่การเป็น อภิรัฐ (Superstate) นั้น
อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษกลับมองเห็นความสำคัญของ รัฐชาติ หรือ
การเน้นอธิปไตยในชาติเท่านั้น ยุโรปในทัศนะดังกล่าว
จึงไม่ใช่ยุโรปที่เป็นอภิมหาอำนาจ หรือ อภิรัฐ
แต่เป็นยุโรปที่เปิดโอกาสให้มีการรวมตัวกันโดยแต่ละประเทศยังสงวนเอกลักษณ์ของตนเอาไว้
ความแตกต่างระหว่าง นายจ๊าค เดอลอร์ และนางมาร์กาเร็ต แธตเชอร์
อันที่จริงก็เป็นความแตกต่างของกระแสการเมืองสองกระแสที่มีอยู่ในยุโรป
หรือในกลุ่มประเทศประชาคมยุโรปทุกวันนี้ กระแสแรกนั้นมีฝรั่งเศส
และเยอรมันเป็นหัวหอก ส่วนกระแสที่สองนั้นในอดีตสมัยนางมาร์กาเร็ต แธตเชอร์
ได้เป็นหัวหอกในกระแสนี้
การลงนามในข้อตกลงก่อตั้ง สหภาพยุโรป ณ เมืองมาสทริกท์
อย่างน้อยก็เป็นเครื่องชี้ชัยชนะของกลุ่มแรกที่ต้องการผลักดันทิศทางของยุโรปสู่การเป็น
อภิรัฐ หรือ สหรัฐยุโรป ในภายภาคหน้า
การเปลี่ยนแปลงของยุโรปทุกวันนี้
ย่อมที่จะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของยุโรป และสหรัฐอเมริกาในอนาคต
การล่มสลายของสหภาพโซเวียตนอกจากถือเป็นการปิดด่านสุดท้ายของสงครามเย็นแล้ว
ยังทำให้สหรัฐอเมริกาได้กลายเป็นอภิมหาอำนาจแต่ผู้เดียว
การลดลงหรือการสิ้นสุดของภยันตรายจากการข่มขู่ของคอมมิวนิสต์
และสหภาพโซเวียตในช่วงที่ยุโรปเริ่มปีกกล้าขาแข็ง และเป็นอภิมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ
จึงย่อมเป็นปัจจัยและเงื่อนไขที่จะส่งเสริมบทบาททางการเมืองในอนาคตของยุโรป
ในยุคต่อไปนี้เองจะเป็นยุคที่สหรัฐอเมริกา
และยุโรปจะต้องมีการปรับเปลี่ยนแนวนโยบายต่างประเทศ
ที่มีต่อกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
บทบาทและขอบเขตของสหรัฐอเมริกาในนาโต้คงต้องมีการประเมินกันใหม่
ตลอดจนท่าทีของสหรัฐอเมริกาที่จะมีต่อประชาคมยุโรป ในฐานะกลุ่มประเทศ
และประเทศสมาชิกแต่ละประเทศ
นอกจากยุโรปภาคพื้นเอเชียเองก็จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย
การขยายตัวของบทบาททางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น
ย่อมนำมาซึ่งการขยายอำนาจทางการเมืองของญี่ปุ่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในขณะเดียวกัน
การขยายตัวของจีนในทางเศรษฐกิจ
และขนาดความสำคัญของประเทศดังกล่าวในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ย่อมทำให้จีนอนาคตมีบทบาทในเวทีการเมืองมากกว่าปัจจุบัน
ซึ่งจะมีลักษณะเพียงมหาอำนาจในภูมิภาคเท่านั้น
โลกในยุคใหม่ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย ทั้งในยุโรปและเอเชีย
ในส่วนหนึ่งก็มีมุมมองในแง่ที่เป็นโลกที่ปลอดจากการขัดแย้งทางการเมืองในระดับที่เคยมีมาก่อน
ภายใต้บรรยายกาศของสงครามเย็น เป็นโลกที่การแข่งขันทางเศรษฐกิจ
และความจำเป็นในความร่วมมือของมหาอำนาจจะเข้ามาแทนที่บรรยากาศแห่งการขัดแย้งที่มีมาแต่เดิม
อย่างไรก็ตาม ถ้าพิจารณาอีกมุมหนึ่งนั้น
โลกใหม่ยังเป็นโลกของการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลในเชิงโครงสร้าง
โครงสร้างดังกล่าวจะเป็นอย่างไรนั้น ยังต้องขึ้นกับเวลาเท่านั้น
ที่จะเป็นเครื่องตัดสินความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกากับยุโรป
และสหรัฐอเมริกาและเอเชีย โดยเฉพาะต่อญี่ปุ่นและจีน
จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะกำหนดโครงสร้างและทิศทางดังกล่าวได้
โลกยุคใหม่หรือระเบียบโลกใหม่
จึงเป็นเพียงความหวังที่รอการกำหนดให้เป็นรูปธรรมในอนาคต
และเพื่อบรรลุถึงจุดที่ได้เป็นรูปธรรมเท่านั้น เราจะได้คำตอบว่า
ความคาดหวังที่จะเห็นเสถียรภาพทางการเมือง
โลกในยุคใหม่นั้นจะตรงกับความเป็นจริงหรือไม่
กล่าวโดยสรุป การเติบโตของประเทศในยุโรป
การรวมกันโดยอยู่บนพื้นฐานของการพึ่งพาและการแลกเปลี่ยน
การเฉลี่ยการกระจายศักยภาพของแต่ละประเทศในการช่วยเหลือประเทศในยุโรปด้วยกัน
ทำให้เกิดเป็นสหภาพยุโรปขึ้น (European Union) การล่มสลายของสหภาพโซเวียต
การสิ้นสุดของสงครามเย็น ทำให้บทบาทของสหรัฐอเมริกาในภูมิภาคยุโรปลดลง
นับตั้งแต่มีการให้สัตยาบันสนธิสัญญามาสทริคท์จัดตั้ง สหภาพยุโรป


