ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม อารยธรรม >>
ลัทธิการครอบโลก
ลัทธิการครอบโลก หมายถึง การใช้ความเหนือกว่าของทุน เทคโนโลยี
การบริหารจัดการ และอิทธิพลทางการเมือง ผ่านกลไกต่าง ๆ
ขององค์กรระหว่างประเทศมาบีบให้ประเทศกำลังพัฒนาซึ่งมีอำนาจต่อรองน้อยกว่า
ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข ของประเทศที่มีก้าวหน้ากว่า ภายใต้แนวคิด การค้าเสรี
ประชาชนผู้ด้อยโอกาสทั้งโลกกำลังตกเป็นเหยื่อของลัทธินี้ โดยรัฐบาล
และกลุ่มผลประโยชน์ในประเทศกำลังพัฒนาได้กลายเป็นเครื่องมืออย่างไม่รู้ตัวหรือด้วยความสมยอม
ช่วง 20 กว่าปีแรกหลังสงครามโลกครั้งที่สอง (ประมาณ พ.ศ. 2488-2512)
เศรษฐกิจของประเทศทุนนิยมตะวันตกเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศเหล่านี้เกิดขึ้นควบคู่ไปกับการจัดบริการสวัสดิการสังคมให้แก่ประชาชนเพิ่มขึ้น
โดยรัฐเป็นผู้ดำเนินการ แม้ประเทศที่ได้รับเอกราชใหม่ ๆ
ในโลกที่สามก็ยังมีมาตรฐานการครองชีพที่ดีขึ้นในช่วงนั้น
ในปี ค.ศ.1960 ญี่ปุ่นและเอเชียตะวันออกมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
4% ของโลก ขณะที่อเมริกาเหนือมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจถึง 37%
ในขณะที่ปัจจุบันมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจประมาณ 24% และช่วงทศวรรษที่ 90
มากกว่าครึ่งหนึ่งของความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกได้เกิดขึ้นมาในทวีปเอเชีย
จนกระทั่งต้นทศวรรษที่ 1970 (ประมาณปี พ.ศ. 2513-2518)
ลัทธิทุนนิยมก็เริ่มประสบปัญหาใหญ่ 2 ประการ คือ ประการแรก
โรงงานอุตสาหกรรมผลิตสินค้าออกมาล้นหลามเกินกว่าความต้องการของผู้บริโภคภายในประเทศ
เรียกว่า มี การผลิตเกินขนาด ประการที่สอง บริษัทใหญ่ ๆ
หลายบริษัทสะสมกำไรได้เป็นจำนวนมหาศาล แต่ไม่มีที่ทางให้ลงทุนได้ เรียกว่ามี
การสะสมทุนเกินขนาด เมื่อเศรษฐกิจตะวันตกประสบปัญหาการผลิตเกินขนาด
และการสะสมทุนเกินขนาด นายทุนในประเทศตะวันตกจึงต้องมองหาลู่ทางอื่นที่จะทำกำไร
ซึ่งก็ทำได้หลายวิธี เช่น
นายทุนที่ยังคงผลิตสินค้าและบริการต่อไปและจะมองหาตลาดใหม่ ๆ
เพื่อขายสินค้าเป็นเหตุให้บริษัทจำนวนมากย้ายฐานการผลิตบางส่วนมาตั้งในทวีปเอเชียและละตินอเมริกา
ซึ่งมีแรงงานราคาต่ำกว่า และเป็นตลาดใหม่ที่กำลังขยายตัว
สามารถรองรับสินค้าที่ผลิตเพิ่มขึ้นได้
หรือการใช้วิธีว่าจ้างบริษัทในประเทศอื่นให้ผลิตชิ้นส่วนบางอย่างของสินค้าที่สามารถผลิตได้ถูกที่สุดแล้วขนส่งข้ามประเทศมาประกอบเป็นผลิตภัณฑ์เต็มรูปในอีกประเทศหนึ่ง
นายทุนต้องพยายามทำกำไรโดยการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตของแรงงานที่มีอยู่
หรือนายทุนคนเลิกทำการผลิตแล้วหันไปใช้วิธีการเอากำไรที่สะสมได้ไปปล่อยเงินกู้เพื่อกินดอกเบี้ย
และไป เก็งกำไร โดยการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์และซื้อขายเงินตรา
เพื่อเอาผลต่างระหว่างราคาซื้อกับขายเป็นกำไร
ที่เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดวิกฤตหนี้สินในประเทศเหล่านี้หลายครั้งในช่วง 2
ทศวรรษที่ผ่านมา รวมทั้งวิกฤตการเงินในเอเชียที่เริ่มต้นที่ประเทศไทย เมื่อปี 2540
ด้วย
ช่วงคริสตศตวรรษที่ 20 มีศูนย์กลางอำนาจอยู่สองทวีปที่ทรงพลังอำนาจของโลก
กล่าวคือ อเมริกาเหนือและยุโรป แต่หากย้อนกลับไปในคริสตศตวรรษที่ 18-19
นั้นโลกมีศูนย์กลางอำนาจอยู่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น นั่นคือ ยุโรป
จนกระทั่งคริสตศตวรรษที่ 21 หรือสหัสศวรรษใหม่กลับมีศูนย์กลางอำนาจอยู่ 3
แห่งด้วยกัน คือ เอเชีย อเมริกาเหนือและยุโรป ทั้งในส่วนข่าวสารข้อมูล
เทคโนโลยีและทุนซึ่งได้เคลื่อนผ่านข้ามแนวเขตพรมแดนด้วยความเร็วของช่องทางจดหมายอีเล็คทรอนิค
(e-mail)
หลายคนมองว่าโลกาภิวัตน์มีส่วนทำให้โลกร้อนขึ้น
เพราะทรัพยากรธรรมชาติของโลกมีขีดจำกัดในการรองรับและดูดซับมลภาวะที่เกิดจากการผลิตและการบริโภคที่เพิ่มขึ้นทุกขณะได้
ในทางตรงกันข้าม ฝ่ายสนับสนุนโลกาภิวัตน์ เสนอว่า
โลกาภิวัตน์มีส่วนในการแพร่กระจายของเทคโนโลยีการสื่อสาร
ช่วยให้ทุกคนในโลกใกล้ชิดกันเสมือนเป็นสมาชิกของชุมชนเดียวกัน เรียกว่า
หมู่บ้านโลก โดยยกสถิติการใช้อินเตอร์เน็ทที่เพิ่มมากขึ้น
ในประเด็นเดียวกัน ฝ่ายค้านโลกาภิวัตน์ก็แย้งว่า หมู่บ้านโลก
ไม่สามารถเป็นจริงได้สำหรับทุกคน เพราะเทคโนโลยียังคงอยู่ในมือของคนจำนวนน้อย
คนส่วนใหญ่ในโลกคือประมาณ 80% ยังไม่มีโทรศัพท์ใช้เลย และ 70%
ยังไม่มีไฟฟ้าใช้อีกด้วย
พร้อมกับเสนอว่าเทคโนโลยีที่ควรพัฒนาขึ้นมาควรจะมุ่งตอบสนองความจำเป็นพื้นฐานของมนุษย์และปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของคนส่วนใหญ่
แทนที่จะเป็นของเล่นฟุ่มเฟือย และเป็นเครื่องมือเพิ่มพูนอำนาจให้แก่คนรวย
อุดมการณ์ตลาดเสรีจึงส่งเสริมความเป็นปัจเจกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสวงหากำไร
และความสำเร็จส่วนตนของนักธุรกิจและผู้ประกอบการเป็นสำคัญ
ในฐานะที่รัฐมีหน้าที่ดูแลให้เศรษฐกิจเติบโตเพื่อที่ประเทศจะได้พัฒนา
บทบาทหลักของรัฐจึงอยู่ที่การส่งเสริมให้ธุรกิจทำกำไรให้มากที่สุด
มาตรการด้านนโยบายที่จะสนับสนุนอุดมการณ์ตลาดเสรีที่รัฐต้องดำเนินการเพื่อให้สอดคล้องกับอุดมการณ์นี้
มีอยู่ 3 ประการ ได้แก่
(1) การแปรรูปกิจการของรัฐให้เป็นของเอกชน
(2) การยกเลิกระเบียบข้อบังคับ และ
(3) การเปิดเสรีด้านการค้าและการเงิน
มาตรการด้านนโยบายดังกล่าวได้กลายเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการโลกาภิวัตน์
และท้ายที่สุดประเทศที่ไม่มีอำนาจในการแข่งขันก็ตกเป็นเบี้ยล่าง /
เกิดสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ /
ความขัดแย้งทางวัฒนธรรมและสังคมขึ้นทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ นั่นเอง (ยรรยง
สินธุ์งาม, 2549)
ตัวอย่างสถานการณ์ความขัดแย้งทางสังคมและวัฒนธรรมระดับโลกในยุคโลกาภิวัตน์
ในสถานการณ์เช่นปัจจุบันเรามักพบกับรูปแบบความขัดแย้ง /
ข่าวสารข้อมูลเกี่ยวกับความขัดแย้งทั้งในองค์การ และสังคมทั่ว ๆ ไป
ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนระหว่างประเทศ
ความขัดแย้งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครปรารถนา แต่ก็เป็นสิ่งที่ยากจะหลีกเลี่ยง
ตราบใดที่มนุษย์ยังมีชีวิตอยู่และอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมดังที่เหมาเจ๋อตง
กล่าวไว้ว่า ไม่มีสิ่งใดที่ไม่มีความขัดแย้ง ไม่มีความขัดแย้ง ก็ไม่มีโลก
» สังคมโลก
» สถานการณ์ความขัดแย้งทางสังคมและวัฒนธรรมระดับโลกในยุคโลกาภิวัตน์
» สถานการณ์ความขัดแย้งทางสังคมและวัฒนธรรมต่างๆที่เกิดขึ้นในโลกตามการจัดแบ่งมูลเหตุแห่งความขัดแย้ง
» ความขัดแย้งทางสังคมและวัฒนธรรม ระดับโลกในยุคโลกาภิวัตน์


