วิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา >>
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก
และผลกระทบที่เกิดขึ้นในประเทศไทย
ผลสรุปจากการศึกษาในภูมิภาคเอเชียเพื่อการบริหารจัดการ
บทสรุปเพื่อใช้ในการกำหนดนโยบายบริหารจัดการที่ได้จากการศึกษาของกลุ่มนักวิจัย ในเอเชีย โดยทั่วไปมี 2 ประเด็นคือ
- มีหลักฐานปรากฏจากการตรวจวัดลักษณะลมฟ้าอากาศหลายแห่งในทวีปเอเชีย พบว่า
ภูมิอากาศมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเด่นชัดและอากาศร้อนขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
(distinct and significant warming) ในทศวรรษที่ผ่านมา
และพบว่าปริมาณน้ำฝนทั้งปีลดลงในหลายสถานีตรวจวัด
การลดลงของปริมาณน้ำฝนนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970
และเริ่มมีนัยสำคัญตั้งแต่ปี ค. ศ. 1990 เป็นต้น
- มีหลักฐานการเพิ่มขึ้นทั้งระดับความรุนแรงและความถี่ (intensity and frequency) ของการเกิดปรากฏการณ์ลักษณะอากาศที่รุนแรง เช่น คลื่นความร้อน (heat wave) พายุโซนร้อน (tropical cyclones) ช่วงแล้งที่ยาวนานขึ้น, ฝนตกหนักรุนแรง (intense rainfall) ทอร์นาโด (tornadoes) การถล่มของหิมะ พายุฟ้าคะนอง และพายุฝุ่น เกิดขึ้นในภูมิภาคนี้นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 เป็นต้นมา
ผลสรุปข้างบนนี้กับการศึกษาที่มีมาแล้วและกำลังอยู่ในระหว่างการติดตามศึกษาในเรื่องเหล่านี้ พอประมวลได้ดังนี้
การเพิ่มขึ้นของพายุโซนร้อน (Tropical cyclones) กับ ภาวะโลกร้อน (global
warming)
ความเชื่อมโยงระหว่างการเพิ่มขึ้นของพายุโซนร้อน (tropical cyclones)
กับ ภาวะโลกร้อน (global warming) : มีเหตุผลอธิบายพอสังเขปได้ว่า
โดยทฤษฎีแล้วความเชื่อมโยงระหว่างการเพิ่มขึ้นของพายุโซนร้อนกับภาวะโลกร้อนอาจสามารถอธิบายด้วยหลักการพื้นฐานทางฟิสิกส์บางประการ
กล่าวคือ
กลไกอันสำคัญในการเกิดพายุทุกลูกก็คือ
การควบแน่นของไอน้ำในอากาศ(Condensation of water vapor)
จะต้องปลดปล่อยพลังงานออกมาอุณหภูมิที่แตกต่างกันเป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะที่ไม่เสถียร
(instabilities) ของมวลอากาศและทำให้เกิดกระแสลม
ภาวะที่ไม่หยุดนิ่งของมวลอากาศดังกล่าว (unstable disturbances) จะเพิ่มมากขึ้น ๆ
จนเป็นพายุที่มีพลังงานมหาศาล (powerful storms) พายุโซนร้อน แตกต่างจาก
พายุเฮอร์ริเคนในเขตอบอุ่น(mid-latitude storms) ตรงที่กลไกหลักในการเกิด
พายุเฮอร์ริเคน
เกิดจากความไม่เสถียรภาพของสภาวะอากาศเนื่องจากความกดอากาศต่างกัน('baroclinic
instabilities) เป็นสำคัญ ในขณะที่พายุโซนร้อน
เกิดจากสาเหตุสภาวะไม่เสถียรของมวลอากาศแนวตั้งในพื้นที่ราบบนบกอันเกิดจากความร้อนเผาดินและอากาศ
(plain convective instabilities) เป็นสำคัญ จากการติดตามเฝ้าระวังในเรื่องนี้
พบว่า ในช่วงระหว่างปี ค. ศ. 1990-2007
จำนวนของพายุเฮอริเคนและพายุโซนร้อนได้เพิ่มมากขึ้นในทุกลุ่มหาสมุทร (Ocean basin)
ผลการคำนวณจากแบบจำลองคณิตศาสตร์ พบว่าภาวะโลกร้อน จะทำให้เกิดพายุที่รุนแรงมากขึ้นในเขตอบอุ่น ซึ่งก็พอมีหลักการทางฟิสิกส์ที่อธิบายได้ดังนี้:
- เมื่อผิวโลกและชั้นบรรยากาศร้อนมากขึ้นพลังงานความร้อนก็จะเผาน้ำให้ระเหย
ได้มากขึ้น มวลอากาศก็จะมีความชื้นมากขึ้น, แต่
- จะมีปัจจัยหนึ่งที่สามารถลดความรุนแรงของพายุนี้ได้คือ ภาวะโลกร้อนจะทำให้
บริเวณขั้วโลก( polar regions)
อุ่นขึ้นเร็วกว่าบริเวณพื้นที่ในเส้นรุ้งที่ต่ำกว่า
จึงช่วยลดความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างแนวเหนือ-ใต้ ของโลก(meridional
temperature gradient) พายุในเขตอบอุ่นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีความแตกต่าง
กันของอุณหภูมิมากๆ ( sharp temperature gradients)
- พายุในเขตอบอุ่นมีอิทธิพลอันสำคัญต่อระบบลมฟ้าอากาศเนื่องจากมันเป็นตัวขับเคลื่อนเอาความร้อนขึ้นไปยังขั้วโลก (poleward heat transport) ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงคาดหมายว่าจะมีความสัมพันธ์กันระหว่างจำนวนพายุกับความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างบริเวณขั้วโลกกับเขตศูนย์สูตร (pole-equator temperature differences)
ภาวะโลกร้อนกับปรากฏการณ์เอนโซ่ (ENSO)
ความผันแปรของอากาศในเขตเอเชียตะวันออก เอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เชื่อมโยงอยู่กับปรากฏการณ์ ENSO เมื่ออุณหภูมิโลกร้อนขึ้น
ลักษณะอากาศในมหาสมุทรแปซิฟิกมีแนวโน้มที่จะเกิดสภาวะของ El Nino มากขึ้น
ทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของความถี่การเกิด ENSO และการเปลี่ยนแปลงวัฏจักรของฤดูกาล
ซึ่งจะเห็นได้ว่าความผันแปรจากค่าเฉลี่ยอุณหภูมิน้ำทะเลบริเวณศูนย์สูตรของมหาสมุทรแปซิฟิก
ทำให้เกิดความแห้งแล้ง
และอุทกภัยถี่ขึ้นระหว่างช่วงฤดูร้อนของประเทศที่อยู่ทางตะวันออก ทางใต้
และทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปเอเชีย
จึงพอกล่าวได้ว่าในอนาคตเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วนี้จะทวีความรุนแรงมากขึ้น


