วิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา >>
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก
และผลกระทบที่เกิดขึ้นในประเทศไทย
สัญญาณบ่งบอกผลกระทบของโลกร้อนในประเทศไทย
เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว
ไม่ว่าผลกระทบของโลกร้อนจะเกิดกับประเทศไทย หรือไม่อย่างไร
สื่อมวลชนโดยเฉพาะหนังสือพิมพ์หลายฉบับได้เริ่มกล่าวถึงบ้างแล้ว
เช่นคอลัมน์จุดประกายของหนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ.
2548 โปรยหัวชื่อเรื่องว่า เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว กล่าวไว้ในตอนหนึ่งว่า
....." ต้องรีบเกี่ยวหน่อย เพราะฝนตกบ่อยเหลือเกิน ถ้าไม่รีบเกี่ยวให้เสร็จ
ข้าวมันจะงอกเอาได้" 'ผง ลักขษร' เกษตรกรวัย 76 ปี เจ้าของผืนนากว่า 20 ไร่
พึมพำกับเพื่อนบ้านที่มาช่วยลงแขก
ฝนที่กระหน่ำลงมาต่อเนื่องในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน ซึ่งควรจะเป็นหน้าหนาวแล้ว
ไม่ใช่แต่เกษตรกรที่ชีวิตขึ้นอยู่กับฟ้าและฝนเท่านั้น
แม้แต่นักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมก็ยังตั้งคำถามกับอาการวิปริตของโลกนี้เช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นฝนที่มาล่าช้ากว่าปกติจนเกิดภัยแล้งในหลายพื้นที่
แต่แล้วเพียงไม่กี่เดือนตามมาเกิดฝนตกครั้งใหญ่จนหลายพื้นที่ภาคเหนือต้องเผชิญกับน้ำป่าหลายระลอก
ยังมีพายุเฮอร์ริเคนที่ก่อตัวกลางมหาสมุทรแอตแลนติกถล่มรัฐฟลอริดาของสหรัฐ
จนเมืองทั้งเมืองจมอยู่ใต้บาดาล.......
ผลกระทบของโลกร้อนหรือการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินในประเทศ?
อันที่จริงแล้วสัญญาณบ่งบอกเรื่องดังกล่าวนี้มิใช่เพิ่งชี้ให้เห็น
ในปัจจุบันว่าแต่ได้ปรากฏมาบ้างแล้วอย่างต่อเนื่อง
แต่ก็มีประเด็นที่ต้องคิดกันต่อว่าเป็นเรื่องของโลกร้อนเพียงอย่างเดียวหรือเกิดจากสาเหตุอื่นประกอบด้วย
ผลของการศึกษาวิจัยที่นำเสนอต่อไปนี้จะช่วยทำให้เกิดความคิดในการหาคำตอบมากขึ้น
การศึกษาวิจัยการลดลงของพื้นที่ป่ากับการตก
การกระจายของปริมาณฝนในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย
ในประเทศไทยนั้น Tangtham และ Sithipibul (1989)
วิเคราะห์น้ำฝนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ตรวจวัดได้ในช่วงปี ค.ศ. 1951-1984 พบว่า
มีความสัมพันธ์ในเชิงลบกับพื้นที่ป่าไม้ที่ลดลงในภาคนี้ แต่จะมีวันฝนตกมากขึ้น
ในขณะที่ Satomora (2000) และ Sen และคณะ (2003)
ได้ศึกษาโดยใช้แบบจำลองคณิตศาสตร์พบว่า การลดลงของพื้นที่ป่าไม้ (deforestation)
ในแหลมอินโดจีน ส่งผลต่อการลดลงของปริมาณฝนในเขตเอเชียอาคเนย์ ส่วน Kanae และคณะ
(2001) ศึกษาด้วยการวิเคราะห์ตามอนุกรมเวลาและใช้แบบจำลอง พบว่า
ปริมาณฝนในประเทศไทยเฉพาะในเดือน กันยายน ลดลงไปอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 3
ทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งนี้โดยภาพรวมทั้งประเทศแล้วปริมาณฝนในเดือนนี้จะลดลงไปประมาณ 7
% ในขณะที่ในท้องที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือลดลงสูงสุดถึง 29 %
Kanae และคณะ (2001)
ได้อธิบายถึงสาเหตุที่ฝนในเดือนกันยายนลดลงอย่างมีนัยสำคัญว่า
เนื่องจากมรสุมตะวันตะเฉียงใต้ ซึ่งปกติมักจะอ่อนกำลังในเดือนนี้ (กันยายน)
กลับหายไป (disappear) ทั้งนี้แบบจำลองที่เขาใช้ศึกษาชี้ให้เห็นว่า
การเปลี่ยนแปลงของการสะท้อนรังสีคลื่นสั้น (surface albedo)
ของผิวดินและความขรุขระของพื้นที่ (roughness)
อันเกิดจากสภาพป่าเดิมในพื้นที่นี้ลดน้อยลงไป ส่งผลต่อการเกิดพฤติกรรมนี้
Yasunari (2002) ได้ศึกษาความผันผวนของปริมาณฝนทั้งปีของประเทศไทย พบว่า
โดยภาพรวมแล้ว ปริมาณฝนในเดือน กันยายน
มีแนวโน้มลดลงทั้งประเทศอย่างชัดเจนนับตั้งแต่ปี ค.ศ.1950 เป็นต้นมา
แต่ไม่ส่งผลต่อปริมาณฝนในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม
อันเป็นช่วงที่ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ยังพัดแรงอยู่
Sen และคณะ (2003) ศึกษาการลดน้อยถอยลงของป่าในแหลมอินโดจีน (Indochina deforestation) ต่อลมมรสุมช่วงฤดูร้อนของเอเชียตะวันออก (East- Asian summer monsoon) โดยใช้แบบจำลองและการตรวจวัดค่าในอดีต พบว่า :
การลดลงของพื้นที่ป่าในเขตแหลมอินโดจีนที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบต่อลมมรสุมไม่เฉพาะในระดับท้องถิ่นเท่านั้น แต่ได้กระทบไปไกลถึงระบบมรสุมช่วงฤดูร้อนในเขตเอเชียตะวันออกด้วย ทั้งนี้เนื่องจาก การเพิ่มขึ้นของความเร็วลม และอุณหภูมิที่สูงขึ้น ในขณะที่อัตราส่วนการผสมของไอน้ำในอากาศ (water vapor mixing ratio) กลับลดน้อยลง ทั้งนี้เนื่องจากความหนาแน่นของไอน้ำในอากาศที่ระดับความสูง ณ ความดันอากาศ 850 มิลลิบาร์(ประมาณ 1 กม. เหนือผิวดิน) บริเวณป่าที่ถูกทำลายลดน้อยลงไป
การเปลี่ยนแปลงปริมาณฝนรายปีของภาคตะวันออก
การศึกษาความผันแปรของปริมาณฝนในภาคตะวันออกของประเทศไทย พอสรุปได้ดังนี้:-
- กรมชลประทานวิเคราะห์แนวโน้มปริมาณฝนในภาคตะวันออกระหว่างปี พ.ศ. 2495
2545 พบว่าปริมาณฝนรายปีมีแนวโน้มลดลง 6.0 มม. / ปี มีค่าสัมประสิทธิ์
ความผันแปร 11.5 % ค่าเบี่ยงเบนจากค่าเฉลี่ย 215 มม. (สงวน, 2539)
- การศึกษาของ การเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศลุ่มน้ำภาคตะวันออก (นิพนธ์,2549)
พบว่า โดยภาพรวมแล้วในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2495 2547
ปริมาณฝนเฉลี่ยทั้งปีของภาคตะวันออกลดลง 6.75 มม. / ปี
ทั้งนี้ในฤดูฝนลดลงเฉลี่ยปีละ 5.94 มม. / ปี โดยลดลงทุกเดือนยกเว้นเดือนมีนาคม
โดยเฉพาะเดือนกันยายนลดลงมากกว่าเดือนใดๆ (-2.58 มม.) ตามมาด้วยเดือนตุลาคม
(-1.02 มม.)
- การวิเคราะห์แนวโน้มโดยการใช้ข้อมูลปีต่อปี
พบว่าการลดลงของฝนดังกล่าวยังไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ
แต่เมื่อวิเคราะห์ด้วยอนุกรมเวลา 10, 15 และ 20 ปี
การลดลงของฝนเฉลี่ยทั้งปีมีนัยสำคัญทางสถิติ
- ปริมาณรวมทั้งปีเฉลี่ยของทุกจังหวัดในภาคตะวันออก
มีแนวโน้มลดลงยกเว้นจังหวัดตราดที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
- อัตราการลดลงของปริมาณฝนรายปีเฉลี่ยลดลงจากสูงสุด ® ต่ำสุดของจังหวัดต่างๆ
คือจังหวัดจันทบุรี (-19.4 มม.) ระยอง (-10.3 มม.) ฉะเชิงเทรา (-8.6 มม.)
สระแก้ว (-8.0 มม.) นครนายก (-7.4 มม.) ปราจีนบุรี (-4.8 มม.) และ ชลบุรี (-4.6
มม.)
- จังหวัดตราด เพิ่มขึ้น 9.12 มม./ปี
- เป็นที่น่าสังเกตว่าในบรรดาการลดลงของปริมาณน้ำฝนในเดือนต่างๆ นั้น อัตราการลดลงมากที่สุด เกิดขึ้นในเดือน กันยายน หรือ ตุลาคม แม้แต่ในจังหวัดตราด ซึ่งมีฝนทั้งปีเพิ่มขึ้น ก็มีฝนตกลดลงใน 2 เดือนดังกล่าว


