ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ บุคคลสำคัญ ประเทศและทวีป »
จังหวัดสมุทรปราการ
ข้อมูล » ประวัติศาสตร์-ความเป็นมา ศิลปะ-วัฒนธรรม-ประเพณี สถานที่สำคัญ-แหล่งท่องเที่ยว โรงแรม-ที่พัก
ประวัติศาสตร์-ความเป็นมา จังหวัดสมุทรปราการ(3)
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงให้ขยายตัวเมืองออกไปทั้งสี่ทิศ เพื่อสร้างป้อมเพิ่มเติมคือ ทิศเหนือ ข้าคลองวัดพิชัยสงคราม คลองวัดมหาวงษ์ เลียบฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านตำบลบางนาเกร็ง ตำบลบางด้วน เพื่อสร้างป้อมตามโครงการ
ทิศตะวันออก ขยายออกไปเล็กน้อยบริเวณคลองโพงพางต่อกับคลองพิชัยสงคราม เพื่อสร้างป้อมปีกกา ตำบลท้ายบ้าน ต่อมาในปี พ.ศ.2436 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างป้อมพระจุลจอมเกล้า ฯ ขึ้นที่ฝั่งขวาของแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณใกล้ปากอ่าว ทำหน้าที่เป็นยามคอยเหตุ โดยใช้โทรเลข โทรศัพท์ติดต่อกับตัวเมือง
ทิศตะวันตก ขยายเขตเมืองข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาตลอดตำบลบางปลากด ตำบลแหลมฟ้าผ่า
ในปี พ.ศ.2357 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงเห็นว่า เมืองพระประแดงเดิมทรุดโทรม จึงได้โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างขึ้นใหม่ เลื่อนออกไปใกล้ปากแม่น้ำเจ้าพระยา ให้ชื่อใหม่ว่า นครเขื่อนขันธ์ ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่าเมืองดังกล่าว อยู่ใกล้เคียงกับเมืองพระประแดงเดิม จึงได้โปรดเกล้า ฯ ให้เปลี่ยนชื่อเป็นจังหวัดพระประแดง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2458 แบ่งการปกครองเป็นสามอำเภอคือ พระประแดง ราษฎรบูรณะ และพระโขนง
ต่อมาในปี พ.ศ.2475 ได้มีพระราชกฤษฎีกายุบจังหวัดพระประแดง ให้อำเภอพระประแดงไปขึ้นกับจังหวัดสมุทรปราการ อำเภอราษฎรบูรณะไปขึ้นกับจังหวัดธนบุรี และอำเภอพระโขนงไปขึ้นกับจังหวัดพระนคร ดังนั้นจังหวัดสมุทรปราการจึงประกอบด้วยอำเภอเมือง ฯ อำเภอพระประแดง อำเภอบางพลี อำเภอบางบ่อ ส่วนกิ่งอำเภอเกาะสีชัง โอนไปขึ้นกับจังหวีดชลบุรี
สถานที่สำคัญที่เป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดคือ พระสมุทรเจดีย์ ที่เรียกกันทั่วไปว่า พระเจดีย์กลางน้ำ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงเห็นว่า มีหาดทรายที่ท้ายป้อมผีเสื้อสมุทร ได้ทรงมีพระราชดำริที่จะสร้างพระมหาเจดีย์ไว้เป็นอนุสรณ์จึงได้โปรดเกล้า ฯ ให้ถมพื้นที่เกาะดังกล่าว และให้พระราชทานนามพระมหาเจดีย์ที่สร้างนั้นว่าพระสมุทรเจดีย์เป็นการล่วงหน้า แต่ยังสร้างไม่ทันเสร็จพระองค์ก็เสด็จสวรรคตใน ปี พ.ศ.2367
ในปี พ.ศ.2352 อุปราชเมืองนครพนมได้พาสมัครพรรคพวกประมาณ 2,000 คน เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร จึงได้โปรดเกล้า ฯ ให้สำรวจชายฉกรรจ์ 860 คน ให้ท้าวอินทสาร (ท้าวอินทพิศาล) บุตรพระยาอุปราชเป็นพระยาปลัดเมืองสมุทรปราการ
ในปี พ.ศ.2371 ได้โปรดเกล้า ฯ ให้เจ้าพระยาพระคลัง (ดิส) เป็นแม่กองไปอำนวยการสร้างป้อมที่เมืองสมุทรปราการอีกสองป้อมคือ ป้อมปีกกา ต่อกับป้อมประโคนชัย และป้อมตรีเพชร ที่ตำบลบางนางเกรง
ในปี พ.ศ.2377 ได้โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างป้อมอีกสองป้อมคือ ป้อมนารายณ์กางกร และป้อมคงกระพัน ที่ตำบลบางปลากด
ในปี พ.ศ.2380 มีหมายรับสั่งให้ทำพิธีฝังอาถรรพ์ป้อมเมืองสมุทรปราการ
ในปี พ.ศ.2387 ทางราชการได้ปราบอั้งยี่แสนคำ เมืองสมุทรปราการ
ในปี พ.ศ.2388 ได้โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างป้อมนาคราชต่อเติมจากเดิม สร้างป้อมปีกกาพันสมุทร อยู่ทางฝั่งขวาของแม่น้ำ ปรับปรุงขยายป้อมผีเสื้อสมุทรที่สร้างไว้ที่เกาะกลางน้ำโดยให้ขยายปีกกาต่อป้อมออกไปอีกทั้งสองข้าง ให้นำศิลาก้อนใหญ่มาถมปิดปากอ่าวที่ตำบลแหลมฟ้าผ่า ห้ากอง เมื่อถมแล้วก็จะเป็นร่องเดินเรือโดยเฉพาะเป็นการบังคับให้เรือ ขนาดใหญ่กินน้ำลึกต้องเดินตามร่องน้ำนั้น ร่องน้ำที่เกิดจากการถมหินนั้น เรียกว่า ร่องน้ำโขลนทวาร
ในปี พ.ศ.2391 ได้โปรดเกล้า ฯ ให้เสร้างป้อมบนฝั่งซ้ายแม่น้ำอีกหนึ่งป้อมเป็นป้อมขนาดใหญ่กว่าทุกป้อม ที่สร้างมาแล้วคือ ป้อมเสือซ่อนเล็บ สำหรับผู้บัญชาการกองทัพมาประจำอยู่ สร้างที่ตำบลมหาวงษ์ อันเป็นบริเวณโรงเรียนนายเรือปัจจุบัน
ในปี พ.ศ.2370 ได้โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างพระสมุทรเจดีย์ สร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ.2371 และได้มีการบูรณะดัดแปลงแก้ไขแบบ และก่อสร้างเพิ่มเติมเป็นการใหญ่ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ทรงพระราชดำริที่จะสร้างป้อมป้องกันข้าศึกขึ้นที่ ตำบลแหลามฟ้าผ่า ตรงบริเวณพื้นที่ที่งอกออกไปในทะเล อยู่ทางฝั่งขวาของแม่น้ำ เริ่มสร้างเมื่อปี พ.ศ.2427 เสร็จเมื่อปี พ.ศ.2436 คือ ป้อมพระจุลจอมเกล้า ฯ เป็นป้อมที่ทันสมัย อาวุธของป้อมมีขนาด 6 นิ้ว จำนวน 7 กระบอก ซื้อจากประเทศอังกฤษ เป็นปืนหลุมยกขึ้นลงได้ด้วยแรงน้ำมัน
ในปี พ.ศ.2436 ฝรั่งเศสได้ส่งเรือลูแตง เข้ามาตรึงกำลังในแม่น้ำเจ้าพระยา โดยจอดอยู่หน้าสถานทูตฝรั่งเศส เพื่อให้รัฐบาลไทยยอมรับว่า ดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส
ในตอนเย็นของวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ.2436 กองเรือรบฝรั่งเศสสองลำ ประกอบด้วย เรือแองกองสตังค์ และเรือโคเมต โดยมีเรือสินค้าฝรั่งเศสชื่อ เรือเย เบ เซย เป็นเรือนำร่องผ่านสันดอนปากน้ำเจ้าพระยา เข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลไทย ทหารไทยที่ป้อมพระจุลจอมเกล้า ฯ จึงยิงด้วยกระสุนซ้อมรบสองนัด เพื่อเตือนให้เรือรบฝรั่งเศสแล่นกลับออกไป แต่ไม่เป็นผลจึงได้ยิงด้วยกระสุนจริง ข้ามเรือรบไปสองนัด เรือฝรั่งเศสได้ชักธงรบ และระดมยิงมายังป้อมพระจุลจอมเกล้า ฯ ทางป้อมพระจุล ฯ ได้ยิงโต้ตอบด้วยปืนใหญ่ทุกกระบอก ที่มีอยู่ในระหว่างนั้นหมู่เรือรบไทยได้แก่ เรือทูลกระหม่อม เข้าร่วมยิงต่อสู้ด้วย ปรากฎว่าเรือเย เบ เซย ถูกยิงทะลุ ต้องแล่นไปเกยตื้นอยู่ ณ บริเวณป้อมพระจุล ฯ ส่วนเรือแองกองสตังค์ และเรือโคเมต คงแล่นเข้ามาถึงกรุงเทพ ฯ และจอดทอดสมออยู่ที่หน้าสถานทูตฝรั่งเศส
จากกรณีพิพาทครั้งนี้ ไทยต้องเสียดินแดนทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ตลอดจนเกาะทั้งหลายในแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศส และสิทธิอื่น ๆ อีกหลายประการ
ในปี พ.ศ.2484 ทหารญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นบก ที่ตำบลบางปู เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ชาวสมุทรปราการประมาณสามพันคน ภายใต้การนำของ ขุนบุรีภิรมย์กิจ (พริ้ม จารุมาศ) ข้าหลวงประจำจังหวัด และนายสุวรรณ รื่นยศ นายอำเภอเมือง ฯ พากันไปชุมนุมที่สำโรง เรียงรายมาตามถนนสุขุมวิท มาถึงสะพานมหาวงษ์ แต่การสู้รบไม่ทันได้เกิดขึ้น เพราะทางรัฐบาลไทยยอมให้ทหารญี่ปุ่นผ่านประเทศไทยได้
ในปี พ.ศ.2485 ได้มีพระราชบัญญัติรวมจังหวัดพระนคร ธนบุรี สมุทรปราการ และนนทบุรี เข้าด้วยกัน รวมเรียกว่า นครบาลกรุงเทพ ฯ ธนบุรี ต่อมาในปี พ.ศ.2489 ได้มีพระราชกฤษฎีการประกาศจัดตั้งจังหวัดสมุทรปราการขึ้นใหม่
ที่มา : หอมรดกไทย
<<< ย้อนกลับ ||
จังหวัด » กรุงเทพฯ กาญจนบุรี ชัยนาท นครนายก นครปฐม นนทบุรี ประจวบฯ ปทุมธานี เพชรบุรี ราชบุรี ลพบุรี สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สระบุรี สิงห์บุรี สุพรรณบุรี อยุธยา อ่างทอง อุทัยธานี


